.
.
.
“ให้ตายสิฉันไม่อยากไปโรงเรียนเลย”
นิคือช่วงเวลาที่เรียกว่าการเปิดเทรม เด็กๆ หลายคนอาจจะชอบมัน หรือบางคนก็ไม่
หากแต่ “ลูซีอา” หรือในตอนนั้นเธอใช้ชื่อว่า “อริน” เธอก็ไม่ได้ชอบการไปโรงเรียนเท่าไรนัก นั่นเพราะว่าเธอไม่ได้มีเพื่อนที่ดีต่อเธอเลย ณ ที่โรงเรียนแห่งนั้น
แต่เธอก็จำเป็นที่จะต้องไป ไม่เช่นนั้น ภรรยาของคุณอาของเธอจะต้องด่าว่าหรือไม่ก็ตีเธอแน่ๆ
ในช่วงเช้าอริน รีบอาบน้ำและแต่งตัว เธอทำอาหารเช้าและเตรียมเครื่องดื่มให้กับภรรยาของคุณอาและน้องสาวที่เป็นลูกของคุณอาอย่างรีบเร่ง
พวกเขาจะต้องมีทุกอย่างบนโต๊ะอาหารก่อน 7 โมงเช้า และ 7 โมงครึ่งน้องสาวของเธอก็จะมีรถรับส่งไปโรงเรียน
เธอยืนส่งน้องสาวตัวน้อยของเธอขึ้นรถ น้องสาวของเธอในวัย 10 ขวบ เธอมีโบว์ผูกผมสีขาวและถูกถักเปียอย่างดี มันเรียบร้อยด้วยฝีมือของอริน
มันอาจจะดูวุ่นวายไปซักนิดหนึ่ง เพราะน้องสาวของอรินมักชอบเดินไปมาอยู่เสมอ เธอไม่ชอบอยู่นิ่ง ดังนั้นการถักเปียนี้จึงไม่ใช่งานที่ง่ายซักเท่าไร
และอรินก็ไม่สามารถจับเธอให้อยู่นิ่งๆ ได้ เพราะถ้าเธอทำให้น้องร้องไห้เธอจะถูกตีโดยภรรยาของคุณอาทันที
และนั้นก็ทำให้ทักษะการผูกเปียของเธอดีขึ้นในทุกๆ วัน
หลังจากยืนส่งน้องสาวขึ้นรถก็ได้เวลาที่เธอต้องเดินไปที่โรงเรียนด้วยการเดินด้วยตัวของเธอเอง เธอต้องรีบซักหน่อยแล้วในวันนี้ ไม่งั้นเธออาจจะไปสายได้นะ
ระยะทางในการเดินไปโรงเรียนใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ถึง 45 นาที นั่นเพราะอรินไม่ใช่ผู้หญิงที่เดินเร็วเท่าไรนัก
แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงที่โรงเรียนดูเหมือนว่าวันนี้ เธอจะพบกับเด็กผู้ชายใจร้ายที่ชอบแกล้งเธอเขาซะแล้วสิ
คำพูดเสียงดังของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
“หมูริน หมูริน ชุดเปียกมาโรงเรียนอีกแล้วนะ คิคิ” เด็กชายพูดไปก็หัวเราะไป เขาหันหน้าไปทางเพื่อนๆ จากนั้นทุกคนก็หัวเราะไปด้วยกันส่งเสียงดัง มันดูเหมือนว่าอรินจะเป็นตัวตลกของพวกเด็กผู้ชายกลุ่มนี้ไปซะแล้ว
ด้วยความที่อากาศในตอนเช้าที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางมาโรงเรียนด้วยการเดินนั้น ทำให้อรินมักมีเหงื่อออกเยอะเสมอ นอกจากนั้นผิวของเธอก็ดูคล้ำและหยาบกร้านกว่าเพื่อนในวัยเดี่ยวกันอยู่มาก เพราะเธอไม่ได้รับการดูแลแบบที่เด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ควรได้รับ เธอทำงานหนัก และเธอต้องเดินไปมาระหว่างร้านกลางแดดแรงๆ เพื่อส่งกาแฟและขนมหวานให้ลูกค้าอยู่เป็นประจำโดยไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่มีครีมทาผิวดีๆ เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ได้รับการดูแลจากครอบครัวที่ดี
อรินก้มหน้า เด็กหญิงไม่อยากพูดคุยกับเหล่าเด็กผู้ชายเหล่านี้ เขาไม่ใช่เพื่อนของเธอ แม้ทุกคนจะเรียนห้องเดี่ยวกันก็ตาม
อรินพยายามรีบเดิน แต่ในตอนนั้นเอง เด็กชายคนหนึ่งก็มาที่ด้านหลัง แล้วจับกระเป๋าเธอ พร้อมกับดึงเธอเอาไว้
“นิพวกนายจะทำอะไร เดี่ยวก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ”
แต่ในขณะนั้นเอง เด็กชายอีก 3 คนที่เหลือก็มายืนล้อมรอบอรินแล้วพยายามเอากระเป๋าออกจากด้านหลังของเธอ
“ได้แล้วๆ” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความดีใจ
“ดูสิกระเป๋าเก่าชะมัด” พูดจบเด็กที่เหลือก็ต่างหัวเราะชอบใจ
จากนั้นไม่นานเด็กคนหนึ่งก็เอากระเป๋าของอรินโยนของข้างในออกแล้วปากระเป๋าของเธอทิ้งไปให้ไกลที่สุด จากนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งไปพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนจะมีคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ยัยโง่ เธอจะมีกระเป๋าและหนังสือไปทำไม ถึงมีมันเธอก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก ฮะฮาฮา”
จากนั้นเด็กชายอีกคนก็พูดขึ้น “หมูรินรีบเก็บของซะซิ ถ้าไปสายจะถูกลงโทษนะ แต่สำหรับเธอการได้เรียนในห้องหรือยืนหน้าห้องคงไม่ต่างกัน ยังไงเธอก็เป็นหมูโง่อยู่แล้วนิ คิคิ”
เด็กทั้งสี่พูดไปก็หัวเราะกันไป พร้อมทั้งรีบเดินเข้าไปที่โรงเรียนด้วยกัน
ทิ้งให้อรินที่ตอนนี้มีน้ำตา แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจเธอเลย เพราะทางเดินนี้ เป็นทางอ้อมด้านหลังของโรงเรียน มันจึงไม่มีอาจารย์หรือครูคนใดยืนอยู่แถวนี้เลย
นอกจากเด็กนักเรียนด้วยกันที่เดินบนเส้นทางนี้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครสนใจอรินและเข้ามาช่วยเหลือเธอ บางคนก็ยังแอบหัวเราะอีกด้วย
นั่นเพราะเรื่องราวแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของโรงเรียนเล็กๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ที่แห่งนี้คือโรงเรียนของรัฐบาลเล็กๆ แม้ส่วนกลางของรัฐบาลจะพยายามมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ
การที่เรียนในโรงเรียนเล็กๆ และเป็นโรงเรียนที่รับคนเข้ามาเรียนโดยไม่มีการคัดเลือกใดๆ จากทุกระดับชั้นและคุณภาพชีวิต ชีวิตแต่ละครอบครัวของเด็กที่เรียนที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่มีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นเด็กๆ ที่โรงเรียนแห่งนี้หลายๆ คนจึงมีนิสัยที่เอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวชอบแกล้งคนอื่นกันอยู่มาก
โดยเฉพาะกับอริน ที่เธอมักดูเชื่องช้าและมีรูปร่างที่แตกต่างจากคนอื่นๆ นอกจากนั้นเธอยังใส่แว่นหนาเก่าๆ ที่นะตอนนี้ขามันหักไปด้านหนึ่ง แต่ใช้เชือกพันเอาไว้ เพื่อให้ยังพอใช้งานได้
นอกจากนั้นบุคลิกที่ใสซื่อและพูดเพาะของเธอ ยังแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่ชอบพูดคำหยาบ ทำให้เธอแถบจะเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆ ที่นี่ไม่ได้เลย
ตอนนี้อรินได้แต่ร้องไห้ และค่อยๆ เดินไปหยิบสมุดหนังสือที่กระจ่ายไปหมด
และในตอนนั้นเองขณะที่เธอกำลังจะเก็บปากกาของเธอ เธอก็พบว่ามีรองเท้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งอยู่ข้างหน้าเธอ
และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็พบว่ามีชายสูงวัยที่มีใบหน้าใจดีคนหนึ่งที่คุ้นเคยกำลังยิ้มให้เธอ
“…คุณลุง” อรินพูดพร้อมกับเอามือเช็ดน้ำตาของตัวเอง เธอมองไปที่มือของชายสูงวัย และพบว่ากระเป๋าของเธอ สมุดและของทั้งหมดอยู่ในมือของชายสูงวัยหมดแล้ว
“เป็นอะไรไปเด็กน้อย สุภาพสตรีไม่ควรร้องไห้ก่อนเข้าไปเรียนนะ” ชายสูงวัยพูดด้วยความสุภาพและน้ำเสียงที่ใจดี เขาพูดพร้อมยื่นกระเป๋าที่ใส่สมุด หนังสือและของทุกอย่างลงไปอย่างดี
“ขอบคุณคะ” อรินพูดพร้อมรับกระเป๋า เธอเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
จากนั้นชายสูงวัยก็เอามือลูบหัวของเธอ พร้อมพูดให้กำลังใจกับอริน “แต่ถึงอย่างนั้น การถูกเด็กเกเรแกล้งก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าอยากให้ข้าสั่งสอนเด็กใจร้ายพวกนั้นหรือไม่”
อรินได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม นั่นไม่ใช่เพราะว่าเธออยากให้ชายชราช่วยเธอจัดการกับเหล่าตัวแสบทั้งสี่ที่แกล้งเธอ แต่เธอพบว่าวิธีการพูดของชายชรานั้นแปลกๆ ราวกับว่าตัวของเขามาจากยุคโบราณ เธอหัวเราะดัง “คิคิ”
“เจ้าหัวเราะอะไรสุภาพสตรีตัวน้อย”
“วิธีพูดของคุณลุงมันดูแปลกๆ”
ชายสูงวัยมีทีท่าเล็กน้อย ก่อนถามนาง “อย่างไรรึ ข้ามิได้ดูเหมือนคนพื้นเมืองของที่นี่รึ” หลังจากนั้นชายสูงวัยก็หันมองดูชุดเสื้อผ้าของตัวเอง
“ไม่ใช่คะ ลุงเหมือนกับคนอื่นๆ นอกจากนั้นคุณลุงยังดูดีมากๆ อีกด้วย แถวบ้านหนูไม่มีคนที่ผมขาวแล้วยังดูหล่อ แต่งตัวดีและแข็งแรงแบบลุงเลย เพียงแต่วิธีพูดของคุณลุงมันดูเก่าแปลกๆ” อรินพูดไปก็แอบเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ
“งั้นรึ ข้าอุสาคิดว่าข้าเข้าใจทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์แล้วเสียอีก หากแต่ข้ายังศึกษาเรื่องราวของที่นี่ยังไม่พอ และก็ยังสื่อสารกับคนที่นี่น้อยเกินไป” ชายสูงวัยพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณลุงเป็นชาวต่างชาติเหรอคะ”
“ก็…” ชายสูงวัยพูดลากเสียงและทำสีน่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “น่าจะเป็นแบบนั้น”
ชายสูงวัยดูเหมือนจะมีคำพูดต่ออีกหากแต่ในระหว่างนั้น “กรี๊กกกกกกกกกกกกกกกก” เสียงสัญญาณเข้าโรงเรียนก็ดังขึ้น
เมื่ออรินได้ยินดังนั้นก็รีบโบกไม้โบกมือให้ชายสูงวัยก่อนจะรีบพูดและรีบเดินไป “ขอบคุณที่ช่วยหนูเก็บกระเป๋านะคะคุณลุง หนูต้องรีบเข้าเรียนแล้วไม่งั้นหนูจะสายและต้องยืนหน้าห้องอีก”
ชายสูงวัยยืนนิ่งโบกมือเบาๆ และเฝ้ามองอรินเดินจากไป ด้วยสายตาที่ทอดอาลัย…
มันมีความนัยมากมายในสายตาของบุรุษสูงวัยที่ดูสง่างามผู้นี้
แต่มันคืออะไรกันละ?