Skip to main content

“แย่แล้วข้าทำให้แม่นางสวินโกรธ ฮะฮาฮา” จิ่งจูลุงคนขับรถพูดและหัวเราะอย่างมั่นหน้า

ใครๆ หากไม่โง่พอต่างรู้ว่าท่านขุนหมิงเค่อเอ็นดูสวินจื่อหรานเป็นพิเศษ แต่ลุงจิ่งจูคนนี้ก็กล้าพูดแกล้งสวินจื่อหราน

แต่ที่เขาพูดแบบนี้ได้ก็เพราะจิ่งจูมีฐานะพิเศษ

เขาคือเพื่อนวัยเด็กของหมิงเค่อ จิ่งจูนับหมิงเค่อเป็นลูกพี่ตั้งแต่เด็กๆ แม้ตัวเขามีอายุมากกว่าหมิงเค่อ 5 ปี

หมิงเค่อชอบจิ่งจูเพราะความซื่อสัตย์ จึงเลี้ยงดูจิ่งจูเรื่อยมา จากเด็กๆ ให้ขนม โตมาให้วิชา หนุ่มฉกรรจ์มอบเนื้อสัตว์และยา

ภายหลังหมิงเค่อร่ำรวย จึงฝึกฝนจิ่งจูหนักขึ้น เพียงแต่พรสวรรค์และความสนใจด้านยุทธ์ของจิ่งจูค่อนข้างสามัญ สติปัญญาก็งั้นๆ ฝึกมาหลายปีแม้ได้ทรัพยากรไปไม่น้อยแต่ก็พึงถึงระดับสองของนักยุทธ์มาได้อย่างกล้อมแกล้ม

พรสวรรค์พิเศษของจิ่งจูคือจำทางแม่นบวกกับความเป็นคนซื่อสัตย์งานคนรถจึงถูกใจจิ่งจูมาก

สวินจื่อหรานไม่รู้ว่าจิ่งจูคือคนสนิทของหมิงเค่อ

นอกจากนั้นเพราะไม่ดูแลตัวเอง นักยุทธ์แม้แก่ช้ากว่าคนธรรมดามาก แต่จิ่งจูหน้าแก่มาตั้งแต่เด็กแล้ว การถูกเรียกลุงเขาชินมาก!!!

รถเคลื่อนตัวไปความเร็วไม่มากนัก รถยนต์ของโลกใบนี้ยังไม่ค่อยทันสมัย การขับเร็วเกินไปทำให้รถกระเด้งแรง นอกจากนั้นถนนของโลกใบนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบปูหิน ไม่ใช้ถนนลาดยาง ดังนั้นหากไม่รีบร้อน ขับช่วงความเร็วต่ำคนนั่งจึงจะนั่งสบาย

รถเคลื่อนตัวไม่เร็วนัก มันเคลื่อนไปเรื่อยๆ

เมื่อไม่ได้ถูกลุงจิ่งชวนคุย สวินจื่อหรานคล้ายเหม่อลอย ไม่ช้านางเปิดหน้าต่าง มือราดไปกับขอบประตูรถที่เอากระจกลง จากนั้นนางเอียงคออิ่งแขนเป็นหมอน ในใจนางคิดบางสิ่งไม่หยุด

จน…

เมื่อถึงบ้านที่เป็นตึกแถว ซึ่งหน้าบ้านมีระยะร่นไม่น้อย

สวินจื่อหรานโค้งตัวให้จิ่งจู บริเวณซุ้มประตูหน้าบ้านของตน

“ลุงจิ่งขอบคุณที่มาส่งนะเจ้าค่ะ”

“มันเป็นหน้าที่ ไปละแม่นางคนสวย” ลุงจิ่งโบกมือลา

สวินจื่อหรานเมื่อเดินเข้าไปในบ้าน

หลังจากรอดผ่านซุ้มประตูซึ่งเป็นทางเข้าจุดแรก

นางไปยืนที่หน้าบานประตู ซึ่งเป็นประตูส่วนของตัวบ้าน นางหันซ้ายมองขวา มั่นใจว่าไม่มีใครมองมาที่นาง แทนที่นางจะใช้กุญแจไขประตูเปิดเข้าไป

แต่นางกลับใช้มือของตัวเองประทับลงกลางบานประตูไม้ มันปรากฏวงจรลี้ลับทรงกลม ซึ่งหากหมิงเค่ออยู่ตรงนี้ เขาจะรู้ได้ทันทีว่านี่คือการใช้พลังวิญญาณกระตุ้นวงจรอาคม ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าจอมคาถาทำกันเป็นเรื่องปกติ

หน้าบ้านตึกแถวที่ธรรมดา ปรากฏว่ามีค่ายกลเล็กตั้งอยู่ และเมื่อประตูบ้านกำลังจะเปิด

“แม่!”

สวินจื่อหรานสะดุ้ง นางตกใจแรง เมื่อหันหลังกลับนางพบสตรีชุดดำ ซึ่งชุดของสตรีนางนี้มีลักษณะรัดรูปและดำด้าน มันมีลักษณะคล้ายชุดบอดี้สูททั้งตัว รัดด้วยสายหนังใช้เกี่ยวที่คล้องกระเป๋าใบเล็กต่างๆ ทั่วหน้าขาและแขน

สตรีที่เรียกสวินจื่อหรานว่าแม่ นางสวมหน้ากากกระต่ายหูตกที่ดูเย็นชา ชุดของนางมีรอยเลือดเลอะทั่ว

“ซุ่ยหลิงเจ้าทำให้แม่ตกใจ”

“ข้าแค่เรียกท่านแม่เฉยๆ ทำไมท่านต้องตกใจด้วย แม่… ทำไมท่านใจลอยยิ่งนัก…”

ขณะพูดอยู่ๆ 【กงซุ่ยหลิง】ก็หยุดพูดต่อนางก้าวเดินเร็วประชิดตัวสวินจื่อหรานผู้เป็นมารดาและนางใช้มือจับไปที่หางตา “ท่านร้องไห้ หางตาท่านมีรอยคราบน้ำตา ท่านแม่บอกข้ามามีใครรังแกท่านงั้นรึ ข้าจะไปจัดการมัน!”

“ไม่ ไม่มีใครรังแกแม่”

ระหว่างพูดสวินจื่อหรานรีบใช้สองมือเช็ดหน้าและบาดน้ำตา พร้อมรีบดันมือลูกสาวออก

“แม่ข้าไม่เคยถามท่าน ไม่เคยสืบเรื่องที่ว่าท่านทำงานเกี่ยวกับอะไร เพียงแต่บ้านหลังนี้และอาการของท่านแม่ที่ดีขึ้นตลอดหลายปี งานธรรมดาหรือแม้แต่รายได้จากผู้เป็นนักยุทธ์ทั่วไปยังไม่พอจ่าย ท่าน… ได้มันจากงาน…” กงซุ่ยหลิงคล้ายตั้งใจจะพูดบางสิ่ง

แต่นางก็หยุดที่จะพูด นั่นเพราะบางคำพูดนั้นไม่น่าฟังยิ่ง

ดวงตาสวินจื่อหรานเบิกกว้างก่อนหดเล็ก ไม่นานหน้าอกอวบของนางขยับเด้งขึ้นลงจากการหายใจแรงหลายครั้ง

บางคำพูด ใครๆ พูดออกมาสวินจื่อหรานไม่โกรธ เพียงแต่ต้องไม่ใช่กับลูกสาวของตัวนาง

โชคดีที่บุตรธิดาของนางไม่พูดสิ่งไม่น่าฟังออกมา

“แม่ทำงานสะอาด ไม่มีอะไรไม่ดี” เสียงของสวินจื่อหรานหนักแน่น

“เจ้าคะท่านแม่”

วันใหม่ที่สดใส สายวันสักหน่อย

สวินจื่อหรานตื่นสายเล็กน้อย ก่อนเริ่มวันใหม่โดยการทำความสะอาดบ้านที่เป็นอาคารสามชั้น ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ลูกสาวสองคนของนางคนหนึ่งออกจากบ้านไปแต่เช้า

ส่วนอีกคนร่ำเรียนอยู่ที่หัวเมืองใหญ่ ไม่ได้อยู่เมืองนี้

โลกใบนี้ก็มีโรงเรียน เพียงแต่ระบบการศึกษาต่างจากโลกในชาติภพก่อนของหมิงเค่อมาก

การศึกษาพื้นฐานมีเพียงแค่ 9 ปี และโรงเรียนพื้นฐานเปิดรับทุกๆ สองปี ไม่ใช่ทุกปี โรงเรียนเปิดรับผู้เข้าศึกษาไม่จำกัดอายุมากนัก ของเพียงอายุไม่เกิน 12 ปี สามารถเข้าเรียนตั้งแต่เริ่มต้นได้เลย

สิ่งที่โรงเรียนสอนนั้นมีตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ศิลปะการต่อสู้ การคำนวน กฏหมาย ความรู้เกี่ยวสิ่งชั่วร้ายและอสูร, วิถียุทธ์มีสอนเพียงคร่าวๆ เรื่องเกี่ยวกับจอมคาถามีแต่สิ่งพื้นฐานที่สุด ไม่มีการฝึกสอนแก่นแท้ใดๆ แม้แต่น้อย

หลังจบการศึกษาขั้นต้นเป็นที่รู้กัน ชายหญิงหนุ่มสาวผู้มีความหวังทั้งวิถียุทธ์และเส้นทางจอมคาถา พวกเขาต้องออกเดินทางเพื่อเข้าสู่วิทยาลัยยุทธ์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งการเปิดรับของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นมีช่วงเวลาต่างกัน

แต่ส่วนใหญ่เปิดรับศิษย์ใหม่ทุกๆ 4 ปี แต่บางวิทยาลัยก็รับทุกๆ 6 หรือ 12 ปีก็มี

ระบบมหาวิทยาลัยโลกใบนี้คล้ายระบบสำนัก แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

โลกใบนี้ในหมู่ชนชั้นสูงของโลก พวกเขาต่างมีอายุขัยค่อนข้างยืนยาว 200 300 ปีมีให้พบเห็นทั่วไปหมด ณ ตระกูลใหญ่

และทั้งวิถียุทธ์และเส้นทางจอมคาถา ต่างเป็นเส้นทางที่ต้องฝึกฝนยาวนาน ในระดับที่สูงการปิดด่านใหญ่ศึกษาอะไรเสียหนึ่งครั้ง อาจจะกินเวลาเป็นปีหรือสองปีได้ ดังนั้นการเปิดรับศิษย์ทุกปีย่อมมากเกินไปและเป็นเรื่องเสียเวลาของตัวตนระดับสูงในการฝึกฝน

แต่การไม่มีศิษย์สืบทอดก็ไม่ใช่เรื่องดี

ดังนั้นระยะเวลารับสมัครศิษย์แต่ละครั้งจึงค่อนข้างยาวนาน

แต่พอเป็นแบบนี้ ที่การรับสมัครนานๆ ครั้งปรากฏที ทำให้มีการแข่งขันสูงมากในการเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ

ก่อนถึงเวลาเปิดรับศิษย์ของมหาวิทยาลัยมีชื่อ คนหนุ่มสาวจะมุ่งมั่นฝึกฝนตัวเองอย่างถึงที่สุดและจะไม่ปล่อยปละละเลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะเงื่อนไขรับศิษย์ของมหาวิทยาลัยมีชื่อค่อนข้างเข้มงวด และการที่อายุมากหรือน้อยไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ละมหาวิทยาลัยมีวิธีทดสอบที่ค่อนข้างยุติธรรมสำหรับแต่ละช่วงวัย

และเพราะความเข้มข้น ผู้ที่ต้องการเดินบนเส้นทางพิเศษจึงต้องพยายาม

ครอบครัวของสวินจื่อหรานเป็นตัวอย่าง ลูกของนางคนหนึ่งตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียน ณ หัวเมืองใหญ่ ช่วงหลังเพราะเดินทางไม่ไหว นางต้องไปอยู่หอพัก ส่วนคนโตจบการศึกษาพื้นฐานแล้ว แต่ก็ต้องฝึกฝนตัวเองเข้มงวดทุกวันไม่เคยขาด

ทำงานบ้านได้สักพักใหญ่ ร่างที่ชุ่มเหงื่อทำเสื้อผ้าบางเบาเปียกและรัดรูปส่วนเว้าส่วนโค้ง ร่างที่ชุ่มเหงื่อทำให้นางน่ามองยิ่งกว่าเดิม

ก้มๆ เงยๆ ปัดกวาดบ้าน เสียงกริ้งดัง พร้อมเสียงชายวัยเยาว์

“มีคนอยู่บ้านไหม มีจดหมายมาส่งขอรับ” บุรุษไปรษณีย์แผดเสียง เขาปั่นจักรยาน เบาะหลังมีถุงใส่ของและกล่องใหญ่ บุรุษไปรษณีย์หนุ่มพยายามชูคอเหนือรั้วบ้านที่สูงราวแปดเก่าฉื่อ (1 ฉื่อ = 10 นิ้ว)

“มีคนอยู่บ้านเจ้าคะ” เสียงหวานสุภาพของสตรีดัง

ไม่นานประตูหน้าบ้านที่เป็นรั้วไม้ถูกเปิด

บุรุษไปรษณีย์หน้าแดงก่ำเลือดลมแทบจะตีกลับแรงในทันที ร่างเร่าร้อน ยื่นซองจดหมายด้วยมือสั่นๆ

“ขอบคุณบุรุษไปรษณีย์” สวินจื่อหรานพูดด้วยรอยยิ้มและรีบปิดประตูกลับเข้าบ้าน

เมื่อเดินได้ไม่กี่ก้าว หลังอ่านว่าจดหมายนี่ส่งมาจากใคร หัวใจของสวินจื่อหรานเต้นแรง

“พี่หญิง!” สวินจื่อหรานอุทานอย่างลืมตัว ก่อนนางจะรีบเข้าบ้าน และนั่งลง นางรีบกรีดซองจดหมายเพื่อเปิดอ่านต่อ…

โดยที่บุรุษไปรษณีย์หนุ่มยืนทำใจอยู่นานจึงปั่นจักรยานจากไปได้ หญิงงามแบบนี้และสามารถมีบ้านสามชั้นในเมือง บุรุษไปรษณีย์หนุ่มคงได้แต่ฝันถึงนาง

【”ถึงน้องสาวที่รัก”】

【”บัดนี้พี่หญิงได้เป็นพระสนมของกษัตริย์แแคว้นพหุดารา, หลายปีนี้พี่หญิงรู้ว่าเจ้าแบกรับความอัปยศไม่น้อย ในอดีตพี่หญิงไม่สามารถช่วยเจ้าได้ เมื่อไร้บิดาและอำนาจของตระกูลเดิมข้าก็ไร้กำลังเช่นกัน, แต่คนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต บัดนี้พี่หญิงกลับมาได้รับความรักจากองค์กษัตริย์อีกครั้ง พร้อมพอมีปากมีเสียงอยู่บาง สิ่งนี้ต้องขอบคุณบุตรธิดาของข้า ‘จูเก่อเหมียว’ นางปลุกกายาเก้าดาราได้สำเร็จ เคล็ดวิชาพหุดารากลืนฟ้าของอาณาจักรนางเป็นผู้มีความหวังบรรลุสู่ขอบเขตที่สามแห่งวิถีจอมคาถามากที่สุดในรอบพันปีของราชวงศ์จูเก่อ… จูเก่อเหมียวบุตรธิดาข้าอาจจะไม่สามารถเป็นกษัตริย์สตรีของแคว้นได้ก็จริง แต่นางในตอนนี้ถูกวางตัวเป็นนักบวชหญิงศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นแล้ว”】

【”ด้วยอำนาจของพี่หญิง ข้าได้กดดันเรื่องของเจ้ากับชายไร้น้ำใจ ‘กงจิงซี’ แล้ว… แม้ตระกูลขุนนางของมันจะเป็นตระกูลใหญ่ ณ ดินแดนจักรพรรดิสิบทิศ แต่กงจิงซีปัจจุบันเป็นเพียงตัวเลือกทายาทสายตรง, เมื่อเจ้าต้องการหย่าร้างและตัดขาดกับตระกูลขุนนางแซ่กงนี้ สัตย์สาบานที่เจ้าให้ไว้กับภาพสัญลักษณ์บรรพชนตระกูลกง อักษรโลหิตของเจ้าถูกลบออกแล้ว”】

【”เพียงแต่กำลังของพี่หญิงก็มีเพียงเท่านี้, สตรีชั่วที่ใส่ร้ายเจ้าปัจจุบันฐานะของนางในตระกูลกงมั่นคงนัก หากพี่หญิงเรียกร้องให้ลงมือกับนางย่อมเป็นไปไม่ได้ โปรดอภัยที่พี่หญิงไม่เอาไหน”】

【สวินรั่วชา】