— 1 ปีผ่านไป —
“ถึงแล้วรึ” มหาเทวะบัวมณีกล่าวคำ หลังจากเดินผ่านชั้นมิติที่ได้รับการปกป้องจากมหาฤทธิ์จากผู้ครองอำนาจแห่งจักรพรรดิสวรรค์ ทันทีที่นางมาถึงก็มองสำรวจรอบ นางไม่คิดนึก สถานที่ซ่อนสมบัติสวรรค์สูงสุดแห่งจักรพรรดินีอสูรจะอยู่ ณ ที่แบบนี้
“มหาสุริยันแดงร้อนแรงหากไม่ใช่มหาเทวะปรมัตถ์คงไม่มีทางผ่านเข้ามาได้ นอกจากนั้น เส้นทางเข้าสู่ห้วงมิติแห่งสมบัติก็อยู่ใต้เปลือกผิวสุริยันแดงอีก ยากนักที่จะมีผู้ใดมาสำรวจ ณ ที่แห่งนี้ เพราะพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ปกป้องมัน นอกจากนั้นในสุริยันแดงนี้ก็มีเพียงวิหคอมตะเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ได้ หากแต่ปัจจุบันก็มีน้อยเต็มที ว่ากันว่าเหล่ามังกรต่างล่าพวกมันเพื่อไปทำโอสถปัจจุบันแทบจะไม่มีวิหคอมตะเหลือแล้วนะที่แห่งนี้ ทำให้มหาสุริยันแดงแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ไร้ชีพอย่างแท้จริง” ถังจื่อไหผู้ครองอำนาจแห่งจักรพรรดิสวรรค์กล่าววาจา
ก่อนที่มันจะมองสำรวจรอบด้านเช่นกัน รอบด้านตอนนี้คือโถงถ้ำขนาดใหญ่สีหินดำแดง เบื้องหน้ามีพระราชวังสีแดงทอประกาย มีรูปปั้นวิหคทองตัวหนึ่งนอนหมอบเป็นสง่าแก่ผู้พบเห็น
ไม่ช้าถังจื่อไหผู้ครองอำนาจแห่งจักรพรรดิสวรรค์ก็เดินก้าว หากแต่พอถึงหน้ารูปปั้นวิหคทอง ชั้นพลังไร้รูปก็ปรากฏ ถังจื่อไหเอามือสัมผัสมันเบาๆ แรงต้านแห่งชั้นพลังนี้ไม่ต่ำทรามเลย แม้ว่าถังจื่อไหจะสามารถใช้พลังต้านท้านและเข้าไปด้านในได้ หากแต่สภาพบีบรัดจากพลังไร้รูปอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตัวถังจื่อไหรู้ดีว่ามิอาจจะต้านทานได้ตลอดไป
“จริงดังที่บัวน้อยกล่าว สมบัติสวรรค์สูงสุดชิ้นนี้เจาะจงเหลือผู้เป็นนาย มีเพียงสตรีเพศและผู้ครองสายโลหิตมังกรสวรรค์เท่านั้นที่จะครอบครองมันได้ ดูท่าพี่จื่อไหคนนี้คงมาส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้”
ตอนนี้มหาเทวะบัวมณีจ้าวเหลียนเดินมาด้านหน้า ใบหน้าของนางเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะจับมือพาลี่อิ่งมายื่นด้านหน้าถังจื่อไห พร้อมย่อตัวคารวะขอบคุณ
“หนึ่งปีมานี้เพราะได้ท่านพี่จื่อไห การรอบเข้าแดนมังกรจึงเป็นเรื่องง่าย หาไม่มีท่านการผ่านค่ายกลกักเทพโดยที่ชาวมังกรไม่รู้ตัวคงเป็นไปไม่ได้”
ถังจื่อไหไม่ช้าก็เอามือลูบศีรษะมหาเทวะบัวมณีราวเด็กสตรีต้วน้อย
“กาลเวลาแม้เนิ่นนาน แต่สุดท้ายพวกเราก็ยังได้พบกัน พี่จื่อไหหวังว่า พวกเจ้าจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนานะ” ถังจื่อไหมองมหาเทวะบัวมณีครู่หนึ่งก่อนจะมองไปทางลี่อิ่ง “เจ้าด้วย” ถังจื่อไหพูดพลางเอามือลูบศีรษะลี่อิ่งเบาๆ ไม่ช้าก็ค่อยก้าวถอยหลังกลับร่างจมหายไปในห้วงมิติ
ทิ้งให้ ณ ที่ตรงนี้มีเพียงมหาเทวะบัวมณี ลี่อิ่งและเหล่านางเทพติดตามระดับราชันย์สวรรค์อีกสิบนางเท่านั้นที่อยู่ที่นี่
ไม่ช้าลี่อิ่งก็คล้ายเหม่อลอย นางรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่อย่างประหลาด ภายในคล้ายมีเสียงเรียกหานางอยู่
“พี่หญิงท่านได้ยินเสียงหรือไม่”
“เสียอะไรรึ” มหาเทวะบัวมณีกล่าวด้วยความแปลกใจ
“เสียงนั้นกำลังเรียกหาข้า”
กล่าวจบ ครืน ครืน ครืน เสียงแผ่นดินก็สั่นไหวพระราชวังแดงอยู่ๆ ก็แตกร้าวเป็นหน้ากอง เหลือเพียงวิหคทองที่ดูเด่นเป็นสง่า ไม่ช้าโดยรอบก็ปรากฏหมอกแดงและทะเลสีทอง
มหาเทวะบัวมณีสูดหายใจเข้าในทันที
“ทุกคนระวังต่อจากนี้อันตรายมาก จำไว้ต่อจากนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามหลับเด็ดขาดอำนาจแห่งสมบัติสวรรค์สูงสุดชิ้นนี้คือห้วงวิญญาณ ความฝันและความตาย ทางข้างหน้าต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางที่พวกเราไม่รู้ว่ามีอะไร” กล่าวจบมหาเทวะบัวมณีก็ร่ายฤทธาสร้างเรือดอกบัวขึ้นมาหนึ่งลำ ก่อนจะโบยบินขึ้นไปนั่งบนนั่น ไม่ช้านางตวัดมือครั้งหนึ่ง ด้านหลังนางคล้ายมีผิวน้ำวนเล็กหมุนวนพร้อมมีรากดอกบัวปรากฏ มันจุ่มตัวเองไปในบึงน้ำสีทอง
และทันทีที่รากดอกบัวสัมผัสน้ำสีทองนางก็เข้าใจในทันที
“หากพวกเราตกลงไปในบึงน้ำนี้จิตวิญญาณของพวกเราจะถูกพลังวิญญาณลบเลือน ร่างเทวะของพวกเราไม่ช้าก็จะค่อยๆ สลายไป นอกจากนั้นในแดนนี้มีพลังกดข่มอันยิ่งใหญ่อยู่ แม้แต่ข้าก็ยังไม่ต่างจากผู้สามัญทุกคนระมัดระวังตัวตลอดเวลา ผลัดกันกางเขตอาคม และสลับกันระวังภัย”
เจ้าคะ เสียงเหล่าสตรีราชันย์สวรรค์ตอบพร้อมรีบขึ้นเรือดอกบัว
ในบึงกว้างนี้แม้แต่มหาเทวะบัวมณีเองยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไปที่ใด
หายแต่ในไม่ช้าลี่อิ่งก็ชี้นิว นางชี้ไปทิศทางที่คล้ายมีหมอกแดงหนาแน่นที่สุด
“พี่หญิงทางนั้นเจ้าคะ ข้าได้ยินเสียงเรียกจากทางนั้น”
มหาเทวะบัวมณีกรอกสายตามองครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ นางเชื่อในสตรีตัวน้อยของนาง เพราะนางมั่นใจว่าสตรีนางนี้คือผู้มีชะตาที่พิเศษยิ่ง
.
.
.
— แดนมนุษย์มารอันแสนห่างไกลที่หนึ่ง ณ ดาราระดับต่ำ —
“ท่านย่าข้าหิวจังเลยขอรับ” เด็กน้อยมนุษย์มารผู้หนึ่งร่างผ่ายผอม นั่งหิวโซไม่ไกลจากหญิงชราผู้หนึ่งย่า
ไม่ช้าหญิงชราผู้นี้ก็เงยหน้าขึ้น ตอนนี้ดินแดนแห้งแล้งนอกจากนั้นยังมีภัยสงคราม หมู่บ้านนี้นอกจากเด็กและหญิงชรา บุรุษถูกเกณฑ์เป็นทหาร สตรีวัยมีเรี่ยวแรงก็ถูกเรียกไปเป็นนางรับใช้ ส่วนผู้คนที่เหลือในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็มีแค่ผู้ชรากับเด็กเล็กที่ไม่อาจจะทำงานได้
หากแต่อนิจจา นอกจากเหตุแห่งสงคราม ตอนนี้หมู่บ้านแห่งนี้ยังโดนภัยแล้งเล่นงานอีก นางชราผู้ผ่านโลกมามากตอนนี้ยังได้แต่ถอนหายใจ ไยฟ้าดินจึงกลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้
ไม่ช้านางก็เอามือลูบศีรษะหลานชาย หากแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ดูท่าย่าหลานจะจบชีวิตเพราะความหิวแล้ว
และในขณะนั้นเอง หน้าบ้านเก่าโทรมของหญิงชราและเด็กน้อยผู้หิวโซ
มีสตรีที่อายุวัยราวเก้าปีสิบปีปรากฏ ด้านหลังของนางมีบุรุษแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีและดูสูงศักดิ์ยิ่งหลายคน นอกจากนั้นการแต่งตัวก็คล้ายดูแปลกประหลาดไม่คล้ายกับคนบ้านเมืองนี้
ฉินผิงตอนนี้นางหันมองเด็กน้อยและหญิงชราในบ้าน นางยิ้มอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาหรี่เล็กของนางมีประกายแห่งความเมตตานัก ใบหน้าแม้ไม่งามหากแต่ช่างให้ความรู้สึกสบายใจแก่ผู้พบเห็น
นางก้าวเข้าไปด้านใน
“หิวไหมเด็กน้อย”
เด็กน้อยร่างผอมผู้หิวโซอายุวัยราวสี่ห้าปีรีบพยักหน้า
ฉินผิงเพียงยกนิ้วขึ้นด้านข้างนางก็คล้ายต้นหญ้าเล็กปรากฏ มันงอกเงยและเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็กลายเป็นรวงข้าวสีทองอร่ามเต็มหน้าบ้าน ฉินผิงขยับนิ้วมือสองสามที เมล็ดข้าวจากรวง ก็ลอยมาปรากฏในมือนางเต็มกำมือใหญ่ นางม้วนหมุนวนมือธาตุวารีก็ปรากฏพร้อมไอร้อน
เมล็ดข้าวไม่ช้าก็สุกส่งกลิ่นหอมน่ากิน
เด็กน้อยและหญิงชราตกตะลึง
“พี่สาวคือเซียนรึ”
ฉินผิงไม่ตอบนางแค่ยิ้ม นางพลิกมืออีกครั้ง บนพื้นดินใกล้ตัวนางก็มีต้นไม้ที่มีใบไม้ใหญ่ปรากฏ นางเอาใบไม้ใหญ่นั้นลองข้าวหอมนี้ให้เด็กน้อยและย่าชรากิน
“กินสิ”
เด็กน้อยและย่าชรามองหน้ากัน อยู่ๆ เด็กน้อยก็ร้องไห้พร้อมพูดว่าข้าวหอมจังเลย ข้าวหอมจังเลย ก่อนที่จะรีบกิน
ฉินผิงยื่นมองทั้งสองอยู่ครู่
ไม่ช้านางก็เดินจากไป เด็กน้อยเมื่อเห็นพี่หญิงใจดีจากไปก็รีบลุกขึ้น มือวางข้าวที่อยู่บนใบไม้ใหญ่ และตะโกนขอบคุณ ขอบคุณ
ฉินผิงเดินผ่านบ้านในแดนชนบทเช่นนี้บ้านแล้วบ้านเล่า
นางทำดีไม่หวังผลตอบแทน นางไม่ทิ้งชื่อไม่ทิ้งนาม เพียงมอบข้าวกลิ่นหอมแก่ผู้หิวโหย และพืชพรรณอันวิเศษก็จากไป
เมื่อไปถึงบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้าน และนางกำลังจะจากไป
ก็มีกลุ่มชายหญิงวัยชราที่ได้ข้าวหอมเดินมาหานางกลุ่มใหญ่ พวกเขาต่างคุกเข่าด้วยความขอบคุณจากใจจริง
“ขอบคุณท่านเซียนน้อย ขอบคุณท่านเซียนน้อยที่ช่วยพวกเราหมู่บ้านทางลับ จะเป็นไปได้หรือไม่หากพวกเราจะขอทราบถึงนามอันประเสริฐของท่านเซียนน้อย เพื่ออย่างน้อยๆ จะได้ตั้งป้ายหรือทำรูปสักการะบูชาท่าน”
ไม่ช้าฉินผิงก็คล้ายเงยหน้ามองฟ้า นิ้วมือนางชี้ขึ้นพร้อมกล่าววาจา
“ผิงบุตรธิดาแห่งย่ำฟ้า”
และไม่ช้าฉินผิงและเหล่าผู้ติดตามของนางร่างลอยขึ้นไม่ช้าร่างก็หายไป ช่างเป็นความอัศจรรย์ที่เกิดบรรยายของผู้คนในแดนนี้จริงๆ หากแต่เมื่อร่างของนางหายไปแล้ว
เสียงของนางก็ยังปรากฏก้องอยู่
มันมีใจความว่าบึงแห่งมีน้ำแล้ว เทือกเขามีป่าเขียว ฝนในแดนนี้จะตกในเดือน 4 5 และ 6 ของทุกปี
สิ้นคำนี้ ไม่ช้าสายฝนก็โปรยลงมาชาวบ้านน้อยใหญ่ต่างโห่ร้องขอบคุณท่านเซียนน้อยเสียงดัง
ร่างของฉินผิงตอนนี้นางบินไปไกลมากแล้วหลี่เจียอี้มหาเทวะปรมัตถ์จิ้งจอกเจ็ดหาง มันมองจ้องฉินผิงด้วยรอยยิ้ม ก่อนกล่าววาจาว่า องค์หญิงน้อยช่างเมตตา
ฉินผิงตอบเรียบง่ายว่า เพราะฉินผิงคือลูกของท่านพ่อ
หลี่เจียอี้ยิ้มบางเบาไม่ช้าก็พูดกล่าวบางสิ่งที่สำคัญ
“องค์หญิงน้อย หากเราเดินทางด้วยเส้นทางนี้อีกเพียงครึ่งปี ผ่านหมื่นจักรวาลพวกเราก็น่าจะไปถึงแดนแห่งจิ้งจอกแล้ว ใกล้ได้เวลาที่ท่านจะอยู่บนบัลลังก์แห่งผู้ยิ่งใหญ่และนำพาพวกเราชาวจิ้งจอกกลับสู่ความยิ่งใหญ่”
สำหรับฉินผิงคำพูดของท่านอาจารย์ค่อนข้างแปลก นางสนใจจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหน นางแค่อยากเป็นอย่างบิดา ยิ่งใหญ่และจิตใจดี
1 ปีก่อน เสียงของบิดานางก็ได้ยิน เพียงแต่ว่านางกลับได้ยินเสียงต่างจากคนอื่น ท่านพ่อบอกว่านางไม่มีบททดสอบ เพียงอยู่บ้านฝึกฝนและกินเที่ยวเล่นก็พอ หากแต่พอนางถามกลับเสียงจิตของท่านพ่อ ว่าท่านพ่อจะกลับมาหาฉินผิงเมื่อไหร่ ท่านพ่อบอกว่าหลังจากจบการทดสอบของเหล่าศิษย์และบริวารแห่งย่ำฟ้า
ฉินผิงถามเมื่อไหร่ถึงจะจบรึเจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกแต่เพียงเมื่อผู้คนเข้าถึงความดีและวิถีดีงามที่ท่านพ่อกล่าวสอนมากพอ ท่านพ่อจึงจะกลับมาได้
ฉินผิงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากอยู่บ้านอีก นางอยากให้ท่านพ่อกลับมาหานางเร็วๆ เช่นนั้นนางจึงทำเช่นเดียวกับศิษย์น้อยใหญ่ ออกตะเวรไปทั่วแดนดารา หมื่นแสนห้วงจักรวาล นางเริ่มท่องไปทั่วมหาจักรวาลกับท่านอาจารย์ของนางหลี่เจียอี้และท่านพี่ใหญ่ฉินจวิ้นเจี๋ย ช่วยเหลือผู้คน บอกเล่าเรื่องราวของท่านพ่อ หากมีผู้มีวาสนานางก็กล่าวสอนซึ่งวิถีดีงามของท่าน นางทำเช่นนี้มาตลอดหนึ่งปี
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ พวกเราไปหมู่บ้านนั้นกันต่อเถอะนะเจ้าคะ ฉินผิงสัมผัสได้ถึงพลังกายที่อ่อนโทรมของผู้คน พี่ใหญ่ฉินจวิ้นเจี๋ยตอนนี้ไปหยุดเรื่องไม่ดี กว่าจะจัดการเสร็จคงใช้เวลาไม่น้อย พวกเราคงช่วยเหลือผู้คนได้อีกหลายหมู่บ้านนัก”
หลี่เจียอี้มหาเทวะปรมัตถ์เจ็ดหางแห่งความตาย มันได้แต่ยิ้มเบาๆ ไม่คิดขัดใจนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของตัวมัน
.
.
.
“ตายไอ้เดรัจฉาย”
“ตายซะไอ้พวกทรราช”
เสียงกรีดร้องของผู้คน ตอนนี้เหล่ามนุษย์มารที่มีตบะแทบไม่ต่างกับผู้สามัญ ต่างจับดาบหอกขี่ม้าเข้าเข่นฆ่ากัน ต่างฝ่ายต่างมีกำลังนับแสน นี่เป็นสงครามใหญ่ของแดนนี้แห่งหนึ่ง หากแต่มองดีๆ สองฝ่ายไม่เท่ากัน หนึ่งตั้งรับ หนึ่งโถมเข่นฆ่า
หากแต่ในขณะที่ทั่วพื้นปฐพีเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและการฆ่าฟันนั้น
!!!ตึงงงงงงงงงงงงงงงง
เสียงดังกัมปนาทก็กึกก้อง ผู้คนสับสนร่างสั่นเทา หันหน้ามองกันซ้ายขวา ครู่หนึ่งถึงกับหยุดจับอาวุธฆ่าฟันกัน
และในขณะนั้นเองก็มีเสียงก้องกังวานดังไปทั่วสนามรบ
“!!!จงหยุดฆ่าฟันกันเดี๋ยวนี้”
พอเสียงนี้ปรากฏ ก็คล้ายมีหนึ่งบุรุษไม่พอใจ มันเป็นผู้ใช้ฤทธิ์ระดับโบยบิน ไม่ช้าก็มันบินขึ้นฟ้าก่อนตวาดเสียงดังว่าใครกล้ายุ่งเรื่องของข้า
ไม่ช้าเหนือท้องนภาก็ปรากฏกลุ่มคนใส่ชุดนักรบสีทองราวเทพสวรรค์
ฉินจวิ้นเจี๋ยตอนนี้ราวกับเป็นเทพสงคราม ใต้เท้าของมันราชสีห์สีทองตัวหนึ่งอยู่ใต้เท้า ด้านหลังก็มีกับเทพเกราะทองอีกนับร้อยยื่นด้านหลัง
ไม่ช้าก็มีเทพร่างทององค์หนึ่งตวาดก้อง ด่าว่าไอ้ผู้พูดคำไม่น่าฟังว่าสารเลว
ความต่างแห่งตบะช่างมากล้น ไอ้ผู้กล่าววาจาไม่ดี มันถูกหนึ่งมือคว้าจับแหวกผ่านมิติ ไม่ช้าก็กระชากมาอยู่ตรงหน้าของฉินจวิ้นเจี๋ย ทำเอาเหล่าทหารนับร้อยหมื่นมองจ้องกันตกตะลึง
นิ้วสีทองของฉินจวิ้นเจี๋ยจิ้มลงไปกลางกระหม่อม ความทรงจำต่างๆ ของแม่ทัพเลวคนนี้ไหลบ่าเข้ามาในห้วงจิตสำนึกของฉินจวิ้นเจี๋ยอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้าฉินจวิ้นเจี๋ยก็ตะวาดเสียงดัง
“สาระเลว ก่อสงครามนำผู้คนไปตายนับแสนนับล้านชีวิต เพราะนางแพศยาผู้หนึ่งปรารถนาผลไม้เลิศรส นำกองทัพร้อยหมื่นฆ่าผู้คน เพียงเพื่อจะได้เป็นเจ้าของสวนผลไม้แห่งเดียวช่างระยำนัก”
คำพูดของฉินจวิ้นเจี๋ยเกรี้ยวกราดทำแผ่นดินสะเทือน เหล่าคนทั้งหลายในดาราระดับต่ำแห่งนี้ไม่เข้าใจเลยว่าเทพเซียนผู้นี่คือใครไยครองอำนาจยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
ฉินจวิ้นเจี๋ยวางง้าวไว้ข้ากาย ไม้ช้าก็ใช้สองมือสำแดงพลังมหาฤทธิ์ เกิดเป็นมือขนาดใหญ่สีทองใหญ่โตราวร้อยจั้ง จับอากาศแหวกมิติ ทำผู้คนที่เห็นตาตกตะลึงในพลังอำนาจนี้อีกครั้ง ไม้ช้ามิติที่แหวกออกนั้นก็ทำให้นักรบทหารกล้าจำนวนไม่น้อยเห็นภาพน่าตกตะลึง
พวกมันรบกันแทบเป็นแทบตาย ใช้ชีวิตบนกองโลหิต
หากแต่ภาพในมิติที่แหวกอ้ากับปรากฏร่างชายใหญ่โตรูปร่างอ้วนใหญ่กำลังกอดรัดกับสตรีในบึงน้ำนับร้อยนาง สุราอาหารก็มีจนเกินพอกิน
ไม่ช้าเสียสตรีก็กรีดร้องดัง ฉินจวิ้นเจี๋ยมองจ้องไปที่เจ้าแห่งแผ่นดินนี้ที่อยู่ในสภาพไม่น่ามอง ด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“รู้หรือไม่ว่าเจ้ามีความผิดอะไร”
เจ้าแห่งแผ่นดินร่างสั่นรีบคุกเข่า อำนาจแห่งบุรุษตรงหน้ายากเกินจะหยั่งขาด นี่คงเป็นเทพเซียนจริงๆ
.
.
.
ณ แดนแห่งสมบัติสวรรค์สูงสุดฉินเทียนตอนนี้มันคือผู้โดดเดี่ยว สองมือกลางออกแบบรับความทรมานทางกายอยู่ผู้เดียว
วันนี้มันลืมตาขึ้น มุมปากยกยิ้ม
“เติบโตกันไม่น้อยเลยลูกน้อยของข้า”