Skip to main content
ศาลเทพสวรรค์

ศาลเทพสวรรค์ ตอนที่ 331 : ต่ำกว่าผู้สร้างฟ้าข้าไร้พ่าย

By 26/07/2022กรกฎาคม 27th, 2022No Comments

“สวะงั้นรึแล้วเจ้ามีดีอะไร” หนึ่งในเหล่าบรรพกาลจิตมารพูดกล่าว

ส่วนฉินเทียนก็มองจ้องร่างที่ปรากฏ นี่คือไอ้ตัวที่เซียนซุนแนะนำมาเลยนะว่าทีเด็ด หากแต่พอเห็นความมั่นหน้าของมันและทีท่าเย้ยหยันโลกเช่นนี้ ฉินเทียนก็คล้ายรู้สึกว่าไอ้นี่มันน่าจะเด็ดจริงๆ ด้วยเพราะหน้าตาและรูปลักษณ์ไอ้รูปหล่อเอ็งสมเป็นพระเอกยิ่งกว่าบิดาอีก

สี่บรรพกาลจิตมารนอกจากทุยฉางชีจี้ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดมากวาจาแล้ว ร่างสำแดงแห่งมันตอนนี้อยากรู้แล้วว่าไอ้บุรุษรูปงามจะมีความสามารถเทียบวาจามันได้รึเปล่า

ร่างทั้งสี่พุ่งเป็นเส้นแสง หากแต่ไม่น่าเชื่อบุรุษรูปงาม พลิกตัวหลบพวกมันทั้งสี่ไปมาอย่างง่ายดาย หากแต่ที่น่าตกตะลึงก็คือ ไอ้บุรุษรูปงามผู้นี้ยังไม่สำแดงร่างเทวะแห่งมันแม้แต่น้อย

“วัฏจักรหวนคืน…” บุรุษรูปงามกล่าวคำ ร่างเทวะสำแดงของหนึ่งบรรพกาลจิตมารคล้ายหมุนเกลียวรอบหนึ่ง พร้อมห้วงมิติที่หมุนวนบิดเกลียว

เมื่อร่างแห่งมันหมุนกลับมาที่เดินทุกอย่างก็คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากแต่… ที่กลางหน้าผากของบรรพกาลจิตมารผู้นั้นกลับ…

“ไคเยี่ยนตบะบำเพ็ญของเจ้า… ตอนนี้”

บรรพกาลจิตมารนามไคเยี่ยนตอนนี้คล้ายรู้ตัวแล้ว มหาฤทธิ์ของมันอยู่ๆ คล้ายลดลงหลายส่วน มันหันหน้ามองสหายร่วมศึกด้วยสายตาตกตะตึง

บุรุษรูปงามไม่ช้าก็พุ่งร่างกลายเป็นคล้ายหมอกขาวจาง เพียงครู่ก็อ้อมไปถึงหลังอีกหนึ่งบรรพกาลจิตมารแล้ว ก่อนร่างจะแปรเปลี่ยนจากหมอกควันเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามเช่นเดิม

“จะตกใจไปทำไมพวกเจ้าอีกไม่ช้าก็จะเป็นเช่นนี้กันทุกคน”

และก็คล้ายภาพฉายซ้ำ อีกหนึ่งบรรพกาลจิตมารร่างสำแดงเทวะแห่งมันหมุนวนพร้อมห้วงมิติบิดเกลียว เมื่อกลับมาทีเดิมกลางหน้าผากแห่งมันตราสัญลักษณ์วิญญาณจักรพรรดิสวรรค์ 2 ชั้นฟ้าอยู่ๆ ก็กลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ไร้ชั้นฟ้า

“บัดซบไอ้จัญไร เจ้าทำอะไรกับพวกข้า”

“คิกคิกคิก…” เสียงบุรุษรูปงามคล้ายหัวเราะในลำคอ พร้อมร่างพริ้วหลบมหาฤทธิ์ที่ราวกับสายธารเนื้อแดงแห่งภูตผี ที่พยายามถาโถมและเอามือไขว่คว้าหมายติดตาม บุรุษรูปงามหลีกหนีมันได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ สายธารสีแดงเนื้อเน่านี้ความจริงรวดเร็วนัก มันเร็วจนแม้แต่ราชันย์สวรรค์ ยังไม่อาจจะมองเห็นร่างภูตผีที่ดำผุดดำว่ายได้ชัดเลย หากแต่บุรุษรูปงามกลับหลีกหนีได้สบายยิ่ง

ไม่ช้าบุรุษรูปงานก็กล่าววาจาต่อด้วยทีท่าเบาสบายแม้จะอยู่ในสนามรบเช่นนี้ “ไม่ใช่ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วรึไอ้พวกสวะ ช่างไม่มีสมองจริงๆ พวกเจ้าไม่ได้ยินคำที่ข้าพูดรึ ‘วัฏจักรหวนคืน’ ก็ในเมื่อมันคือวัฏจักรหวนคืนเจ้าว่ามันจะเป็นอะไรไปได้ละ หากไม่ใช่พลังแห่งห้วงกาลเวลา หากแต่ช่างน่าเสียดายด้วยร่างนี้พลังของข้าก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็เพียงพอเล่นกับสวะแบบพวกเจ้าอีกสบายๆ ต่อให้มาเป็นร้อยก็งั้นๆ”

“หน่อยไอ้สาระเลวเป็นเพียงแค่ร่างที่ถูกขุดมาจากอดีตทำปากดีเสียจริง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะแน่นสักแค่ไหน!!!สังเวยชีพสร้างแดนมาร” กล่าวจบบรรพกาลจิตมารตนหนึ่งก็ร่างบูดบวมไม่ช้า!!!ตูมมมมมมมมมมมม ร่างแห่งมันระเบิดรุนแรงยิ่ง แรงระเบิดนี้ส่งเนื้อเน่าแดงของมันไปกลืนกินทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตหนึ่งห้วงจักรวาลในทันที

ฉินเทียนเองก็พุ่งร่างถอยหนีมาไกล นอกจากนั้นก็ตั้งโล่ขึ้นรับแรงกระแทกจากแรงระเบิดอันรุนแรงนี้ พร้อมเผ่าไหม้เนื้อแดงเน่าบางส่วนที่ติดโล่ออกไปด้วย

หากแต่บุรุษรูปงามกับทีท่าสามัญกว่ามันนัก บุรุษรูปงามมันเพียงวาดมือเป็นวงรอบหนึ่งครั้งพร้อมกล่าววาจาน้ำเสียงบางเบาก็เท่านั้น “สรรพสิ่งว่างเปล่า…” จากนั้นรอบตัวมันไม่ว่าแรงระเบิดหรือสิ่งใดๆ ก็ไม่อาจจะสัมผัสต้องตัวมันได้แม้แต่น้อย แม้แต่ฉินเทียนยังอื้ออึง

มันรู้สึกได้ว่าไอ้เจ้ารูปหล่อนี้มัน… มีแต่เคล็ดวิชาสุดยอดสุดยอดทั้งนั้นเลยนี่หว่า

ราวกับว่าบุรุษรูปงามรู้ว่าฉินเทียนมองมันอยู่ มันหันมองฉินเทียนพร้อมส่งยิ้ม มองสำรวจร่างเทพนักรบต้านศึก ลึกๆ คล้ายมีแววตาชื่นชม หากแต่ตอนกล่าววาจากลับ…

“ไม่คิดนึกทั้งๆ ที่เป็นผู้ถือชะตาที่เดินทางบนเส้นทางผู้สร้างฟ้า หากแต่วิธีการต่อสู้ช่างล้าหลังและไร้สมอง มีแต่ยกพวกมากมาสินะ ความสามารถส่วนตัวช่างไม่เอาไหน”

ฉินเทียนตอนนี้แอบห่างตากระตุกต่อไอ้คำพูดของไอ้บุรุษรูปงาม มันอยากกล่าวอ้างเหลือเกินว่า เอ็งรู้รึเปล่าว่าบิดาเหยียบอยู่บนมหาจักรวาลนี้มากี่วัน กี่เดือน กี่ปีแล้วมาอยู่ในสภาพแบบนี้ และทุกวันนี้เอ็งคิดรึว่าบิดาอยากมาอยู่ในสภาพแบบนี้ที่ต้องเที่ยวไปสู้กับใครต่อใครที่มีระดับบำเพ็ญห่างกับตัวบิดาไม่รู้กี่ระดับต่อกี่ระดับ!!!ไอ้ฉิบหาย หากแต่ฉินเทียนก็ไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกไปมันยังจำต้องให้ไอ้บุรุษรูปงามช่วยเหลืออยู่

“บัดซบนี่ขนาดไคเยี่ยนยอมใช้เคล็ดสังเวยชีพสร้างแดนมารไอ้บัดซบจากอดีตนี่มันยังไม่เป็นอะไรอีกรึ ในอดีตมันเป็นตัวตนแบบไหนกัน…” บรรพกาลจิตมารผู้หนึ่งถึงกับอื้ออึง ในขณะที่ทั่วมหาจักรวาลตอนนี้ดาราต่างๆ คล้ายถูกย้อมไปด้วยก้อนเนื้อเน่าที่ถูกระเบิด มันกลืนกินดาราต่างๆ แม้แต่ดวงอาทิตย์ นอกจากนั้นก็ยังสร้างห้วงมิติสีแดง ที่มอบอารมณ์คลุ้มคลั่งและคล้ายแฝงอำนาจดูดกลืนพลังจากทุกสรรพสิ่งอีกด้วย

ฉินเทียนตอนนี้สัมผัสได้ว่าพลังของตัวเองค่อยๆ ลดลงทีละนิดทีละนิดอย่างช้าๆ นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของไอ้เคล็ดระเบิดตัวเองพลีชีพอะไรนั่น ฉินเทียนเริ่มเป็นกังวลเล็กๆ

หากแต่บุรุษรูปงามกับทำตัวเบาสบายเช่นเดิม ก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ

“ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่น่าเบื่อหน่าย เป็นอมตะ ดูดกลืนพลังและธาตุธรรมชาติจากสรรพชีพและเหล่าดารา เคล็ดวิชาแบบนี้แม้ดูยิ่งใหญ่หากแต่ข้าสู้มาด้วยจนเบื่อไม่รู้จะเบื่ออย่างไรแล้ว คิดว่าข้าไม่มีวิธีจัดการงั้นรึ ไอ้สวะเอ่ย” บุรุษรูปงามกล่าวจบก็หมุนวนมือรอบหนึ่งโดยทีมืออีกข้างยังไพล่หลัง จากนั้นไม่ช้านิ้วก็สลักอักษรเร็ว ตอนนี้ด้านหน้าบุรุษรูปงามคล้ายปรากฏวงเวทอะไรบางอย่าง ก่อนจะเปล่งแสงสว่างฉายอาบไปทั่วจักรวาล และขณะนั้นเอง… เสียงกรีดร้องของมารบรรพกาลจิตมารไคเยี่ยนก็ดังก้องไปทั่ว

“อาาาาาาาาาาาาาา อาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ไอ้สวะ เจ้าทำอะไร เจ้าทำอะไรกับข้า”

บุรุษรูปงามได้แต่หัวเราะเบาๆ

“ทุกสรรพชีวิตล้วนมีเกิดและดับ ธาตุมีแพ้และชนะ ในเมื่อเคล็ดวิชาของเจ้าตะกละกินเพื่อที่จะเสริมพลังฤทธิ์ ข้าก็จะให้เจ้ากินจนเต็มอิ่มหากเจ้ากินไหว เพียงแต่… ไอ้การดูดกลืนไม่คิด ทั้งพลังชีวิต พลังวิญญาณและธาตุธรรมชาตินั้น เจ้าได้ดูดกลืนในสิ่งไม่ควรไปแล้วมากเท่าไรเจ้ารู้ตัวหรือไม่”

“ไอ้สวะนี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“คิกคิกคิก เจ้าว่าข้าสวะงั้นรึ ทั้งๆ ที่กำลังจะตายนี่นะ นอกจากนั้นยังต้องให้ไอ้สวะผู้นี้พูดกล่าวเฉลยความแก่เจ้าด้วยรึ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ตอนนี้ร่างแห่งไคเยี่ยนอยู่ๆ ก็คล้ายไม่อาจจะก่อรูปได้ มันเจ็บปวดและทรมานยิ่ง มันกรีดร้อง ก่อนจ้องมองไปที่บุรุษรูปงาม “บอกข้ามาบอกข้ามาว่าเจ้าทำอะไร”

“ไม่ใช่ข้าบอกเจ้าไปแล้วรึว่าเจ้าได้ดูดกลืนในสิ่งที่ไม่ควรเข้าไป แน่นอนเจ้าอาจจะไม่รู้จักมัน หากแต่โดยทั่วไปข้าเรียกมันว่า ‘เทพปรสิต’ โดยสามัญสิ่งนี้หาได้มีอะไรไม่ หากแต่ในร่างที่อัดแน่นและดูดกลืนพลังวิญญาณจำนวนมากเช่นเจ้าเทพปรสิตนั้นเติบโตได้รวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วครู่ข้าก็สร้างมันและกระจายไปทั่วจักรวาลแล้ว”

“เมื่อครู่ที่เจ้าขีดเขียนอักษรนั่นไม่ใช่เพื่อสร้างมหาฤทธิ์ทำลายล้างข้าหลอกรึ”

“คุยกับคนโง่ช่างเข้าใจยาก เหตุใดต้องทำเช่นนั้นให้เปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าด้วยเล่า พวกเจ้ามันก็พวกข้าไม่ตายอยู่แล้ว ข้าจะใช้พลังสิ้นเปลืองไปทำไมให้เศษเนื้อเจ้าไหม้เพิ่มรึ ไอ้โง่ ข้าไม่ได้โง่เช่นเจ้า สู้ข้าอยู่เล่นสนุกกับพวกเจ้าไปนานๆ หน่อยก็ไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าได้ทรมาน ทรมานจนยิ่งกว่าตายเลยละ…” ครู่หนึ่งนัยน์ตาของบุรุษรูปงามฉายภาพความโหดร้ายอันวิปลาส และแรงปรารถนาในการทรมานผู้คน

ฉินเทียนตอนนี้มองไอ้บุรุษรูปงาม ไอ้นี่มันโหดไม่น้อยเลย

ฉินเทียนตอนนี้ส่งเสียงจิตถึงเซียนซุนมันรีบถามแล้วว่าไอ้ ‘เทพปรสิต’ นี่คือเคล็ดวิชาอะไร

ไม่ช้าเซียนซุนก็อธิบายว่ามันเป็นการผสมผสานระหว่างเคล็ดวิชาจำพวกให้ชีพสร้างชีวิต แล้วจากนั้นก็มองสัญชาติญาณชั้นต่ำให้พวกมัน ในระดับราชันย์สวรรค์ขึ้นไปหากทรงปัญญาและฤทธามากพอจะเริ่มสร้างชีวิตจากความว่างเปล่าได้แล้ว

หากแต่ไอ้บุรุษรูปงามนั้นนอกจากมันจะใช้เคล็ดวิชานี้แล้วในการสร้าง ‘เทพปรสิต’ มันยังใช้พลังฤทธิ์ไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นในการสร้างปัญหาในเหล่าบรรพกาลจิตมาร หากแต่กลับเล่นงานจักรพรรดิสวรรค์จิตมารได้เกือบตาย

เซียนซุนพูดกล่าวกับฉินเทียนว่าให้เรียนรู้จากพี่เอาไว้

พอฉินเทียนได้ยินคำว่า ‘พี่’ ตัวมันก็ขมวดคิ้วทันที พร้อมรีบกล่าวถาม

“เซียนซุนนิท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าไอ้บุรุษรูปงามนี่คืออดีตของตัวท่าน”

ฉินเทียนขบคิดพร้อมนึกถึงเซียนซุนในปัจจุบันที่รูปร่างอ้วนท้วนตุ้ยนุ้ยน่ารัก

ไม่ช้าเซียนซุนก็หัวเราะก่อนอธิบาย

“ก่อนที่ข้าจะเถลิงบัลลังก์สู่ผู้สร้างฟ้าสำเร็จ 10 ชาติสุดท้ายของข้า มีชาติหนึ่งเป็นไอ้รูปหล่อนั้น ในชาติภพนั้นข้าพบเจอแต่เรื่องโหดร้าย และเมื่อเทียบกับชาติภพอื่นๆ ในชาติภพนั้นข้าโหดเหี้ยมที่สุด ยามผู้คนเรียกขานข้านั้นมักมาพร้อมกับประโยคประโยคหนึ่ง”

“ประโยคไหนรึเซียนซุน โปรดพูดกล่าวให้น้องชายผู้นี้ฟังที”

เสียงหัวเราะของเซียนซุนดังเบาๆ ไม่ช้าก็พูดกล่าว

“ใต้ผู้สร้างฟ้าข้าไร้พ่าย”

.

.

.

ไม่รู้ทำไมพอฉินเทียนได้ยินประโยคนี้มันช่างให้ความรู้สึกขนลุกเกรียว มันรับรู้ได้ถึงความเย้ยหยันโลกของเซียนซุนในยุคสมัยนั้น ที่กล้าพูดกล่าวถึงกับว่านอกจากพระเจ้าแล้วข้านะไม่แพ้ใคร

ไม่ช้าก็มีเรื่องหนึ่งที่อยู่ๆ ฉินเทียนใคร่รู้ยิ่ง มันจึงกล่าวถามเซียนซุนทันที

“ใช่ในภพชาตินั้นท่านได้พบเจอผู้สร้างฟ้าหรือไม่”

ณ ศาลเทพสวรรค์ เซียนซุนที่ได้ยินฉินเทียนกล่าวถามมันก็ยกมุมปากยิ้ม

“เจอสิ”

“งั้นก็แปลว่าในยุคสมัยนั้นท่านได้พ่ายแพ้สินะคิกคิกคิก แล้วเป็นเช่นไรต้อนพบเจอผู้สร้างฟ้า ต่อสู้กันดุเดือดหรือไม่”

“ข้ารับฝ่ามือแห่งผู้สร้างฟ้าได้ 10 ฝ่ามือ ก็พ่าย”

“กร๊ากๆ เช่นนั้นไยจึงกล้าพูดว่า ‘ใต้ผู้สร้างฟ้าข้าไร้พ่าย’ ”

ไม่ช้าเซียนซุนก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและดูถูกเล็กๆ

“ฝ่ามือแรกทั้งห้วงจักรวาลสั่นไหว ฝ่ามือที่สองดาราและสรรพชีวิตสามัญทั้งมวลดับสูญ ฝ่ามือที่สามทวยเทพ หมู่มารและสรรพชีวิตทั้งมวลสิ้นชีพจนหมด ฝ่ามือที่สี่ห้วงมหาจักรวาลแตกดับ ฝ่ามือที่ห้าสมบัติสวรรค์คู่มหาจักรวาลทั้งห้าซึ่งมีพลังเหนือสิ่งใดในมหาจักรวาลวินาศสิ้น หากแต่ข้าในชาติภพนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่และรับฝ่ายมือของผู้สร้างฟ้าได้อีกห้าฝ่ามือ”

.

.

.

และเมื่อฉินเทียนได้ยินเช่นนี้มันก็แอบอื้ออึงและกลืนน้ำลาย

ดูท่าประวัติของเซียนซุนในชาติภพก่อนๆ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

อ่านบทต่อไป →