Skip to main content
ศาลเทพสวรรค์

ศาลเทพสวรรค์ ตอนที่ 115 : มีผู้แอบจัดเตรียมความฉิบหายให้ไอ้มิจฉาชีพแล้ว!!!

By 17/01/2022No Comments

ณ โรงหลอมโอสถวิเศษ

ซ่งเวยหลงหยิบสุราหมักชวนฝันรินให้โอหยางไห่ โดยที่ตอนนี้ใบหน้าของมันเริ่มแดงซ่านเล็กน้อยเช่นกัน ทั้งสองดื่มด่ำพลางพูดกล่าวเรื่องต่างๆ ในจิตใจ

“หยางไห่เจ้าว่าอะไรนะ ตอนนี้ลูกเจ้าได้เป็นศิษย์ฝึกหลอกโอสถของพระองค์อย่างนั้นรึ”

โอหยางไห่พยักหน้ารับอย่างมีความสุขกับอนาคตของบุตรธิดาของตนเอง

“ใช้แล้วท่านหัวหน้าซ่ง ตอนแรกข้าก็ตัดใจไปแล้ว หากแต่เพราะความมุ่งมั่นของนาง สุดท้ายก็ทำให้ฝันเป็นจริง องค์มหาเทวะผู้ยิ่งใหญ่จักรพรรดิ์สวรรค์ช่างรอบรู้ เพียงแค่พบเจอเซี่ยนน้อยของข้าก็รู้แจ้ง รู้ว่านางมีสายโลหิตวิหคอัคคีที่หายาก มันเป็นสายโลหิตที่เกี่ยวพันกับมารดาของตัวนาง ซึ่งตัวข้าก็จนใจเหลือเกินที่จะทำให้นางเป็นผู้หลอมโอสถวิเศษได้ เพราะกายนางมิอาจจะควบคุมห้าธาตุได้ โดยเฉพาะอัคคีธาตุ หากแต่อะไรรู้ไหมท่านหัวหน้าซ่ง เพียงครั้งแรกที่เซี่ยนน้อยของข้าเจอกับพระองค์ท่าน ท่านก็เมตตาถ่ายทอดเคล็ดวิชาคุมอัคคีเฉพาะให้นาง แค่วันเดียวนางก็ควบคุมไฟใช้การได้แล้ว เคล็ดวิชาแห่งพระองค์ท่านช่างอัศจรรย์เหลือเกิน”

โอหยางไห่พูดไปก็มีความสุขยิ้มเยาะไป

ซ่งเวยหลงก็พยักหน้าตาม มันกำลังนึกคิดถึงอุปนิสัยขององค์จักรพรรดิ์สวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านช่างมีอุปนิสัยเมตตาต่อสรรพชีวิตนัก

เรื่องที่โอหยางไห่เล่าก็เรื่องหนึ่ง เรื่องของกัวหยี่เย่ก็อีกเรื่องหนึ่งแม้นางจะไม่พูดกล่าวอะไรกับมันมากมาย หากแต่นางก็อธิบายเรื่องราวของนางให้มันฟังว่านางมีประวัติที่มิสามารถบอกเล่าได้ง่ายๆ เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่พอพูดกล่าวได้ก็คือ ตัวนางถูกคำสาประดับ 8 แทรกซึมเข้าไปในดวงจิต ซึ่งแทบจะหาผู้ช่วยเหลือในมหาจักรวาลนี้ไม่ได้อีกแล้ว

หากแต่เพียงท่านองค์จักรพรรดิรับรู้ท่านกลับเมตตาช่วยเหลือนางโดยไม่ร้องขอสิ่งใด

เป็นอีกครั้งที่ซ่งเวยหลงได้ยินเรื่องราวของพระองค์ที่ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คำให้ตอนนี้ความประทับใจต่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ที่แสนปลอมเปลือกค่อยๆ ซึมลึกไปในชีพจรของซ่งเวยหลงมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งมันรู้ว่าเพียงการปรากฏกายของพระองค์ครั้งหนึ่งก็ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน เพราะองค์สังหารเหล่าหมู่มารและผู้ครองจิตมารเพื่อช่วยสรรพชีวิต ซ่งเวยหลงก็ราวกับเป็นทาสบูชาความดีของพระองค์ไปแล้ว มันปรารถนาเหลือเกินที่จะได้ติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะด้วยฐานะใดก็ตาม แม้เป็นทาสมันก็ยังภูมิใจยิ่ง

ไม่ช้าหลังจากนั่งดื่มกับโอหยางไห่ไปสักพักใหญ่ๆ

ไม่ช้าซ่งจี้หยางก็เดินเข้ามาพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่ง เมื่อซ่งเวยหลงและโอหยางไห่เห็นเข้าก็รีบลุกขึ้นต้อนรับทันที

โอหยางไห่โค้งกายคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านเจ้าปราสาทอสูร”

ซ่งเวยหลงยิ้มร่าก่อนเดินเข้าไปสวมกอด “พี่ใหญ่เลี่ยงท่านกลับมาแล้ว”

ไม่ช้าบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ก็หัวเราะเสียงดังมันคือเจ้าปราสาทผู้ฝึกอสูรเลี่ยงจิง ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานของผู้แซ่ซ่งสองพี่น้อง

“ได้ยินเรื่องราวบางส่วนจากน้องจี้หยางมาบ้างแล้ว ดูเหมือนพวกเจ้าพึงพานพบผู้ยิ่งใหญ่กันมาสินะ ฮะฮาฮา”

ไม่ช้าซ่งเวยหลงก็รีบจัดแจงที่นั่งให้เลี่ยงจิงและพี่ชายของมันซ่งจี้หยาง ก่อนที่จะพูดคุยสนุกสนาน เวลาค่อยๆ ล่วงผ่าน สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องคุยกัน

“พี่ใหญ่ท่านหายหน้าไปเกือบปี มิทราบไปทำอะไรมารึ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก พอดีข้าต้องไปรับหน้าที่ฝึกอสูรในมณฑลที่หนึ่ง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีความต้องการในอสูรระดับสูงมาก เหมือนกับว่า…” เลี่ยงจิงทำหน้าคล้ายเคร่งเครียด “อีกไม่นานมหาจักรวาลอาจจะต้องพบเจอกับมหาศึก เวลาแตกหักคงใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว แม้พวกเราไม่พูด พวกเจ้าก็น่าจะรู้ พวกมารแท้จริงนั้นปกครองทั่วจักรวาลน้อยใหญ่ แดนมนุษย์บำเพ็ญของเราก็ค่อยๆ ถูกมันแทรกซึมมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้ารู้อะไรไหม ข้าได้ยินจากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ จำนวนมหาปรมัตถ์ของเหล่าชาวสวรรค์จิตมารในปัจจุบันคือห้าพันกว่าตนแล้วรู้ไหม นอกจากนั้นราชันย์สวรรค์อีกร่วม 200,000 ตน เทวะอัศจรรย์อีกราว 100 ล้าน เจ้าว่าตัวเลขนี้น่ากลัวรึเปล่า”

ไม่ช้าซ่งเวยหลงก็กลืนน้ำลาย พร้อมกับบุรุษอีกสองคนที่ร่วมโต๊ะ สิ่งนี้ช่างหน้าตกตะลึงเหลือเกิน

“เหตุผลเดียวของเวลานี้ที่พวกเรายังไม่แตกดับกับพวกมันก็ด้วย ด้านหน้าของพวกเรามีองค์จักรพรรดิสวรรค์ที่เป็นแนวหน้ารักษาการอยู่ หมู่มารนั้นหวาดกลัวเพราะองค์ยิ่ง ส่วนแดนอสูรก็ไม่ต่างกันมีองค์จักรพรรดิ์สวรรค์ผู้หนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ได้ข่าวว่าพระองค์นั้นอ่อนโทรมเหลือเกิน หากแต่เร็วๆ นี้ข้าได้ยินเรื่องไม่น่าฟังมาเรื่องหนึ่ง องค์จักรพรรดิ์สวรรค์ของพวกเราอีกไม่ช้าท่านจำต้องดับขันธ์ และเพราะแบบนั้น… อีกในไม่ช้ามหาสงครามอาจจะเกินขึ้น”

“พี่ใหญ่จิงที่ท่านพูดกล่าวถึงองค์จักรพรรดิ์พระนามของพระองค์ใช่ปู่สวรรค์หรือไม่”

ไม่ช้าเลี่ยงจิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“นิพวกเจ้ารู้จักพระนามเรียกขานของพระองค์ด้วยรึ ไม่ง่ายเลยนะที่จะมีคนรู้จักพระนามนี้ของพระองค์ ใช่แล้วปู่สวรรค์คือพระองค์ ข้าก็ได้รู้จักพระนามนี้ของพระองค์เมื่อราว 500,000 ปีก่อน ตอนที่ข้าเป็นแนวหน้าปะทะกับพวกหมู่มาร หากแต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่อีกเรื่องก็คือผู้ครองสายโลหิตมังกรบรรพกาล พวกมันอาจจะเลือกเข้ากับหมู่มารด้วยเนี่ยสิ”

“!!!อะไรนะ” พี่น้องแซ่ซ่งและโอหยางไห่แทบจะร้องตะโกนพร้อมๆ กัน

หากแต่ไม่ช้าเลี่ยงจิงก็ทำมือ คล้ายบอกว่า จุ๊จุ๊ พวกเจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว

“อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ยังมีเวลาอยู่ เป็นไปได้พวกเจ้าในเวลานี้ก็พยายามเร่งเร้าการบำเพ็ญของตัวเองให้ได้มากที่สุดเถอะ แต่ละคนยังไม่มีใครถึงเทวะอัศจรรย์เลย ในมหาศึกนี้เกรงว่าอย่างต่ำๆ ก็ต้องเป็นเทวะอัศจรรย์เท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้ หากต่ำกว่านั้นเกรงว่ามิอาจจะทนต่ออำนาจจิตของเหล่าจักรพรรดิ์สวรรค์ได้ ว่ากันว่าพวกมันจะปลุกจักรพรรดิ์มารจากยุคบรรพกาลกลับมา…”

ไม่ช้าคนทั้งหลายในโต๊ะสุราก็คล้ายสีหน้าห่อเหี่ยว เรื่องเหล่านี้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน

สุดท้ายเลี่ยงจิงก็หัวเราะเสียงดัง

“พวกเจ้าอย่างทำสีหน้าอย่างนี้สิ มิใช่ว่าพวกเจ้าพึงเล่าให้ข้าฟังรึ ว่าในดินแดนของพวกเรานี้มีจักรพรรดิ์สวรรค์ที่ไม่อาจจะรู้นามแท้จริงสถิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็พอมีความหวัง แม้กำลังพลของเรากับหมู่มารจะแตกต่างกันมาก”

ไม่ช้าสามบุรุษบนโต๊ะสุราก็คล้ายเห็นแสงสว่างบางอย่าง

“นั่นสิ / ข้าเกือบลืมไป / ใช่เรายังมีพระองค์อยู่”

“พี่ใหญ่และที่ท่านกลับมาครั้งนี้ เพราะมีเหตุสำคัญอะไรรึเปล่าขอรับ”

เลี่ยงจิงยิ้มบางเบาก่อนจะหัวเราะขบขันตัวเอง

“ก็ไม่มีอะไรหลอก หากแต่เพราะไอ้ลูกชายตัวดีของข้านิสิ ปากบอกว่าจะขอท้าทายการสอบปรารถนาเป็นผู้ฝึกอสูรระดับ 4 ให้ได้ ขอร้องให้ข้าเปิดค่ายกลส่งตัวไปแดนอัศจรรย์แห่งเหล่าสัตว์อสูรบรรพกาล พวกเจ้าก็รู้การจะไปที่แห่งนั้นมีแต่เหล่าผู้ฝึกอสูรเท่านั้นถึงมีค่ายกลส่งตัวไป และที่สาขานี้ก็มีแค่ข้าคนเดียวที่เป็นเทวะอัศจรรย์ที่เปิดใช้งานมันได้ วันนี้กลับมาก็เพื่อไอ้ลูกชาย อีกส่วนก็มาทำหน้าที่เจ้าปราสาท เพราะได้ข่าวว่ามีผู้ปรารถนาจะมาเข้าทดสอบเลื่อนระดับกันเยอะเหลือเกิน”

ไม่ช้าสี่บุรุษก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการร่ำสุรา จนแทบจะลืมเวลากันหมดสิ้น

.

.

.

ฉินเทียนที่ตื่นแต่เช้าตรู่ดังเช่นทุกวันตอนนี้มันมองเห็นแต้มบุญระดับมหาศาล

จากที่เคยมีอยู่ราวๆ 14 ล้านแต้มบุญ วันนี้ถ้าถามว่าความจริงควรจะมีแต้มบุญเท่าไร ก็ต้องบอกว่าควรมีราว 24 ถึง 25 ล้าน

หากแต่เรื่องน่าอัศจรรย์ก็คือ แค่วันนี้วันเดียว แต้มบุญรวมของมันกลับมีถึง 164 ล้านแต้มบุญ มันเกิดขึ้นได้ยังไงฉินเทียนสับสน

หากแต่เมื่อมันเริ่มตรวจดูผู้ศรัทธาของมัน มันก็เห็นตัวเลขและคำอธิบายที่แปลกประหลาดจำนวนมาก

เพราะผู้ศรัทธามาใหม่ของมันต่างเป็นผู้บำเพ็ญระดับสูง มีทั้งผู้เหนือโลกแสวงมรรค ทั้งชาวสวรรค์ระดับต่างๆ อีกมากยิ่ง

แม้ทุกคนจะไม่ได้มีศรัทธาแรงกล้าต่อตัวมัน หากแต่ด้วยจำนวนราวล้านกว่าชีวิตที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงก็ทำให้แต้มบุญที่มันได้มหาศาลเกินจะกล่าว

และหากคนพวกนี้ศรัทธามันอย่างแรงกล้าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่ว่าแต้มบุญจะพุ่งไปอีกพันเท่าทันทีเลยรึ ฉินเทียนอื้ออึง

ตอนนี้ถ้าให้พูดกันตรงๆ จำนวนแต้มบุญของมันเพิ่มเร็วกว่าที่คิดมากนัก

จากแต่เดิมคิดว่าคงอีกสัก 10 ถึง 20 ปี คงจะได้เป็นผู้บำเพ็ญระดับตราสัญลักษณ์วิญญาณสีโลหิต หากแต่ด้วยแต้มบุญจำนวนมากแบบนี้ เกรงว่าแค่ในไม่กี่เดือนมันก็จะบรรลุสู่ระดับโลหิตแล้วกระมัง

ฉินเทียนตอนนี้ดีใจนักปรารถนาจะยกระดับการบำเพ็ญของตัวเองในทันที

หากแต่…

ระบบศาลเทพสวรรค์ก็ได้ร้องแจ้งเตือนมัน

– [ท่านยังมีภารกิจแห่งศิษย์ศาลเทพสวรรค์อยู่ จนกว่าภารกิจนี้จะเสร็จสิ้นทางระบบไม่อนุญาตให้ท่านยกระดับไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นท่านจะไม่สามารถทำภารกิจนั้นได้ แต่หากท่านตั้งใจจะยกระดับจริงๆ ก็สามารถทำได้ หากแต่ท่านต้องยอมรับบทลงโทษของศาลเทพสวรรค์ด้วยเช่นกันเพราะท่านได้ทำภารกิจล้มเหลว] –

ฉินเทียนกลืนน้ำลาย ตัวมันเกือบลืมไปแล้วว่าตัวมันนั้นมีภารกิจคั่งค้างอยู่ มันจำต้องไปกับเหล่าตัวน้อยในมิติอัศจรรย์ของโลกเดิมของมันเพื่อหาสมุนไพรในการรักษาจางหมิง หากแต่ตอนนี้ด้วยแต้มบุญจำนวนมหาศาล มันสามารถรักษาจางหมิงให้หายดีได้ในทันที… ฉินเทียนคิดพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข

หากแต่มันก็คิดต่อไปอีกว่าภารกิจของศิษย์ศาลเทพสวรรค์นั้นตัวมันก็ควรถือโอกาสเข้าไปกับเหล่าบุตรทั้งสองของมันด้วย เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างน้อยๆ มันก็พาเหล่าบุตรทั้งสองหนีออกมาได้ ฉินเทียนขบคิด

นอกจากนั้นแม้จะมีแต้มบุญมหาศาล หากแต่การรักษาจางหมิงก็ยังต้องใช้แต้มบุญถึง 5 แสนล้านแต้มบุญ หากแต่ถ้ามันหาสมุนไพรมาปรุงให้จางหมิงได้ มิใช่ว่ามันจะประหยัดกว่าเหรอ เห่อๆ ไอ้มิจฉาชีพหัวเราะ นิสัยตระหนี่ถี่เหนียวนับเป็นสันดานของมันอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่มันมีแต้มบุญถึง 3 ร้อยล้านล้านกว่าแต้มบุญแล้ว ในส่วนแต้มบุญเพื่อผู้อื่น

ไม่ช้าไอ้มิจฉาชีพก็บิดกายขี้เกียจ ก่อนจะเริ่มคิดว่าตัวเองจะไปที่ใดต่อดี หอวิญญาณไปมาแล้ว ห้องลับคำสาปไปมาแล้ว โรงหมอโอสถวิเศษทิ้งเวลาอีกสักหน่อยค่อยไปแล้วกัน

ไม่ช้าตัวไอ้มิจฉาชีพอยู่ๆ ก็เห็นคนขับขี่สัตว์อสูรผ่านบ้านของโอหยางไห่ ลอยตัวกลางท้องนภา

มันยิ้มร่าราวกับรับรู้ประสงค์ของพระเจ้า ในใจเกิดความอยากมีสัตว์อสูรขับขี่บ้างเช่นกันในทันที

“นี่แหละ… ต่อไปข้าจะไปปราสาทผู้ฝึกอสูรก็แล้วกัน หากแต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญนิยายต่างโลก ตัวเอกทั่วไปต้องไปหาความฉิบหายอย่างไม่เว้นวัน หากแต่ตัวข้ามิควรจะเอาอย่าง นิก็พึงผ่านความฉิบหายมาได้ ข้ามิควรเร่งรีบนอนอยู่บ้านเฉยๆ เสีย 7 8 วัน นิสิคือวิถีที่ถูกต้อง เหตุใดตัวข้าต้องเร่งไปพบกับเจอความวุ่นวายด้วยเล่า ด้วยจำนวนแต้มบุญมากมายขนาดนี้ การสอบผ่านก็เป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว”

และเมื่อฉินเทียนคิดได้แบบนี้ มันก็ใช้แต้มบุญซื้อเก้าอี้นอน มาตั้งไว้ที่สวนในเรือนพักผ่อนของมันทันที พร้อนนอนตัวเบาสบายอย่างมีความสุข อยากได้อะไรก็ใช้แต้มบุญซื้อหาอย่างไม่ต้องเกรงใจ

ไม่ช้าโอหยางเซี่ยนน้องสาวนอกสายเลือดของมันก็ปรากฏ พร้อมกอดแข่งกอดขาของมันน้ำลายไหล ถามว่าพี่ใหญ่วันนี้ท่านจะสอนอะไรข้าอีก

ยามนี้ฉินเทียนร่ำรวยแต้มบุญนัก มันจริงมิรีบเร่ง หากแต่ชวนโอหยางเซี่ยนนั่งเป็นเพื่อนคุยพร้อมดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสของระบบศาลเทพสวรรค์ไปด้วยกัน

โอหยางเซี่ยนถึงกับร้องตะโกนอย่างมีความสุข

“พี่ใหญ่พวกนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดมันจึงอร่อยยิ่งนัก และนอกจากนั้นยามข้ากินเข้าไป เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าระดับฝึกฝนของข้ามันพุ่งทยายมิหยุดเลยเจ้าคะ”

ฉินเทียนหัวเราะเห่อๆ มันมิอยากพูดกล่าวมื้อนี้หมดไปเกือบล้านแต้มบุญ สำหรับใช้เลี้ยงเอ็งมันจะไม่ดีได้อย่างไร

หากแต่สำหรับตัวฉินเทียนแล้วในเวลานี้จำนวนล้านแต้มบุญช่างเล็กน้อยเหลือเกิน

ทำให้ตัวมันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความหลังครั้งยังเป็นผู้ยากจนแต้มบุญ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องประหยัดไปหมด กินแต่ข้าวเปล่าแทบทุกวัน

สุดท้ายหลังกินอาหารเสร็จมันก็นั่งสอนโอหยางเซี่ยนหลอมโอสถ โดยที่ในมุมไกลออกไปมีโอหยางไห่แอบมองดูอยู่อย่างมีความสุข

.

.

.

ไม่ช้าวันเวลาก็ล่วงผ่าน ฉินเทียนใช้ชีวิตอย่างเบาสบาย วันนี้มันตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นทุกวัน มันบิดกายและออกเดินเที่ยวเล่นชมสวน หากแต่วันนี้ขณะที่เดินก้าวอยู่ มันก็พบกับซ่งเวยหลงที่อาจจะแวะมาเยี่ยมโอหยางไห่เป็นประจำ

ซ่งเวยหลงเห็นฉินเทียนมันก็รีบก้าวเดินมาหาพร้อมโค้งกายนอบน้อม ถามว่าคุณชายสบายดีหรือ

ฉินเทียนก็กล่าวตอบปราศรัย,ปราสัยอย่างดี

หากแต่คุยไปคุยไม่ ไม่รู้คุยกันอีท่าไหน ก็วกมาเรื่องเกี่ยวกับความสนใจของฉินเทียนมัน ซ่งเวยหลงถามว่าช่วงนี้ฉินเทียนสนใจจะทำอะไรหรือไม่

ไม่ช้าไอ้มิจฉาชีพก็กล่าวตอบ

“วันนี้ช่วงสายข้าตั้งใจจะไปปราสาทอสูรสอบเอาป้ายเสียหน่อย”

.

.

.

ไม่ช้าซ่งเวยหลงก็นัยน์ตาเป็นประกาย พยายามคิดอ่านเพื่อองค์จักรพรรดิ์สวรรค์ นึกคิดว่าท่านมีความปรารถนาอะไรในใจกันแน่ มันจึงรีบพูดกล่าวถามคาดเดาความต้องการแท้จริงของพระองค์

“คุณชายต้องการเลี้ยงสัตว์อสูรหรือขอรับ”

ไม่ช้าเมื่อตัวฉินเทียนนึกถึงภาพยามผู้อื่นนั่งขี่สัตว์อสูรเบาสบาย มันก็คล้ายจะปรารถนาเช่นนั้นบ้าง สุดท้ายมันก็พยักหน้ารับ

ไม่ช้านัยน์ตาของซ่งเวยหลงก็ส่องประกายเจิดจรัส

พร้อมคิดกล่าวในใจ

.

.

.

‘ไม่ได้การละข้าต้องรีบไปแจ้งพี่ใหญ่เลี่ยงจิงว่าองค์จักรพรรดิ์สวรรค์ปรารถนาจะเข้าสอบเอาป้ายศาสตร์แห่งผู้ฝึกอสูร หากแต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์การถูกส่งตัวไปสอบยังแดนอสูรสามัญคงไม่เหมาะสมเป็นการดูถูกพระองค์เกินไป เพราะสัตว์อสูรที่จับได้ที่นั่นนั้นสามัญเกินไปไม่เหมาะสมกับพระองค์ ไม่ได้การละข้าต้องรีบไปแจ้งพี่ใหญ่เลี่ยงจิงให้เตรียมค่ายส่งตัวไปแดนอสูรบรรพกาลอันยิ่งใหญ่ให้กับพระองค์โดยเฉพาะแล้ว มีแต่ที่นั่นเท่านั้นที่เหมาะสมกับพระองค์ ว่ากันว่าที่แห่งนั้นมีแม้แต่ไข่ของสัตว์อสูรสายเลือดเทพสวรรค์ด้วย มีแต่สัตว์อสูรแบบนี้ที่เหมาะกับพระองค์’

.

.

.

ณ ตอนนี้ไอ้มิจฉาชีพมิอาจจะรับรู้ได้เลย มีผู้เตรียมการพามันไปยังสถานที่แห่งความฉิบหายเสียแล้ว

แดนอสูรบรรพกาลคือดินแดนอะไร?

มันคือสถานที่ที่ผู้ฝึกอสูรระดับ 6 ถึง 8 นิยมไปกัน หากแต่การจะไปก็ต้องมีการเตรียมการอย่างดี เพราะจำต้องไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ ปกติแล้วต้องเป็นระดับชาวสวรรค์ระดับสูงก่อนเท่านั้นถึงนิยมเข้าไปกัน เพราะภายในนั้นมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เหนือล้ำกว่าภายนอกมากนัก ทั้งแรงดึงดูด กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่หนาแน่นและเข้มข้น ลดทอนพลังอิทธิฤทธิ์ของผู้บำเพ็ญไปอย่างมหาศาล

ว่ากันว่าแม้แต่เหล่าแสวงมรรคเข้าไปยังมิอาจจะโบยบินได้ ส่วนเหล่าท่องนภาก็ไม่ต้องพูดถึง ภายในนั้นมิต่างกับคนธรรมดาเดินดิน

แล้วไอ้มิจฉาชีพเล่า หากตัวมันเข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร

.

.

.

ส่วนเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ภายในนั้นระดับต่ำสุดคือแสวงมรรค สูงสุด… ก็อาจจะพบได้แม้แต่ระดับราชันย์สวรรค์

และเมื่อเป็นแบบนี้ไอ้มิจฉาชีพเอ็งจะเอาตัวรอดในที่แบบนั้นได้อย่างไร…

!!!ฉิบหายแล้วไอ้มิจฉาชีพ

อ่านบทต่อไป →