“อารันนายยังช้าเกินไป” เสียงของศิลาพูดข้างๆ หูของอารัน ชายหนุ่มผิวขาวผมสีทองที่พึงเรียกศิลาว่าพี่ชายเมื่อครู่
อารันที่ตอนนี้กำลังสั่นกลัว เขามั่นใจว่าตัวเองนั้นยิงไปที่ศิลาอย่างไม่พลาดเป้า เขาเตรียมตัวมาอย่างดี เขามั่นใจว่าทำให้สุภาพบุรุษวัย 45 ปี ที่ชื่อศิลานั้นประมาทและไม่ได้ระวังตัวแล้วอย่างแน่นอน แต่ถึงแบบนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับเขา
การเคลื่อนไหวของศิลาราวกับไม่ใช้มนุษย์ ทันทีที่อารันยิง เขาก็พบว่านั้นเป็นเพียงภาพติดตา ภาพการเคลื่อนตัวหลบกระสุน และพุ่งเขาหาตัวเขาของศิลา ทำให้อารันได้แต่คิดว่าศิลานั้นต้องไม่ใช่มนุษย์ปกติเช่นเขาเป็นแน่ มันดูเหนือขีดความสามารถของมนุษย์ไปมาก
หากแต่สิ่งหนึ่งที่อารันไม่รู้เลย ตัวศิลานั้นเป็นผู้ฝึกฝนด้านประสาทสัมผัสจนเข้าถึงขอบเขตที่เรียกว่า สุญญตา(อ่านว่า ศูนฺยตา) หรือขอบเขตความไม่มีตัวตน มันเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิที่มีจิตแข็งแกร่งเท่านั้นที่ทำได้
ในสภาวะสุญญตาการรับรู้ต่างๆ ของผู้ใช้นั้นจะถูกขยาย การไหลของเวลาราวกับว่ามันช้าลง กระสุนของอารันที่ว่ารวดเร็วนั้นจึงดูไม่ต่างกับลูกโป่งขนาดเล็กที่กำลังลอยมาอย่างช้าๆ สำหรับศิลาเลย
และในตอนนี้อารันก็ได้รู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับศิลานั้นผิดไปทั้งหมด เขาไม่เพียงเป็นจอมบงการ หากแต่ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้อีกด้วย
อารันได้แต่ย้อนนึกถึงความล้มเหลวของทีมสังหารอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้น เขาคิดว่าเพราะคนเหล่านั้นประมาทจึงถูกจับได้ก่อน หากแต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่
ในตึกสูงเสียดฟ้านี้ ในเพ้นเฮาท์หรูนี้แทบจะไร้ผู้คน ไม่มีผู้คุ้มกันใดๆ จนตัวอารันได้แต่คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพราะศิลานั้นมีนิสัยเก็บตัว และมั่นใจระบบรักษาความปลอดภัยรอบนอกแต่เพียงเท่านั้น
หากแต่ตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าไม่ใช่
ทั้งหมดเพราะศิลานั้นแตกต่าง… เขามีศักยภาพเหนือมนุษย์
“พะ… พี่…” อารันพยายามเรียกศิลาว่าพี่ชาย เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเล็กที่จะทำให้เขารอด หากแต่ยังไม่ทันที่ตัวเขาจะพูดอะไร
ศิลาก็จับคอเขาแน่นพร้อมบอกให้เขาไม่ต้องพูดอะไร
“อารันนายไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่นายเคยทำให้กับพี่ชายคนนี้ นายเหนื่อยมาพอแล้ว กลิ่นของอำนาจมันช่างยวนใจ นายถูกพวกโง่นั้นหลอกลวง”
“ใช่…พี่. คือ..ผมถูกพวกนั้นหลอก” อารันพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ไม่เพียงแต่เสียงของเขาจะสั่นหากแต่ร่างกายของเขา… ก็สั่นไหวราวกับไม่สามารถจะหยุดสั่นได้ แม้เขาจะรู้จักกับศิลามาหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยเห็นศิลาในตอนที่ศิลาเป็นแบบนี้
ศิลาที่น่ากลัว ราวกับปีศาจ น้ำเสียงราวกับราชันย์ที่ลิขิตเป็นตายของผู้คนได้ มันช่างสะกดข่มตัวของอารันเป็นอย่างยิ่ง
“มันจบแล้วอารัน นายจะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป”
เมื่อศิลาพูดจบร่างของอารันที่ก็สั่นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหลังจากที่ศิลาปล่อยมือที่กอดอารันออก มือข้างหนึ่งของเขาก็ค่อยๆ บีบรัดคอของอารันจนแน่น และยกอารันลอยขึ้นอย่างช้าๆ
อารันสั่นกลัว พยายามกุมมือของศิลาแน่น ส่งสายตาร้องขอชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย
หากแต่ยิ่งเขาจ้องมองไปที่ดวงตานั้นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหลาดกลัว มันช่างเย็นชา แต่ก็ล้ำลึกและก็โศกเศร้า อารันไม่รู้ว่าทำไมศิลาจึงมีสายตาแบบนี้
หากแต่ไม่ช้าราวกับว่าศิลารู้ว่าอารันคิดอะไร เขาจึงพูดประโยคหนึ่งขึ้น
“อารันนายไม่ใช่คนแรกที่พี่เรียกว่าพี่น้อง ที่ต้องการฆ่าพี่ เหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พี่ไม่โกรธนายหลอกนะ หลับให้สบายอารัน”
สินเสียงของศิลา ร่างของอารันก็เป็นเหมือนคนที่ไร้ลมหายใจ
เส้นทางของผู้ยิ่งใหญ่ช่างโหดร้าย
ไม่ช้าก็มีสุภาพบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาดูสูงวัยไม่น้อยกว่า 50 ปี ผมของเขากลายเป็นสีขาวหมดแล้ว หากแต่ว่าร่างกายของเขากับแน่นไปด้วยกล้าเนื้อ
เขาเดินเข้ามาและตรงไปที่ศพอย่างช้าก่อนจะอุ้มศพของอารันขึ้น พร้อมหันไปมองศิลาพร้อมพูดอะไรบางอย่างด้วยทีท่าสบายๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปกติ
“ไงไอ้ตัวแสบ นี่คืนเส้นทางที่นายเลือกไง ฉันบอกนายแล้วว่าควรจะปล่อยวางบ้าง ถ้านายยอมปล่อยสัมปทานน้ำมันบางส่วนให้ตระกูลของอารันดูแล เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น”
“แต่ถ้าผมทำแบบนั้น และประชาชนในประเทศทั้งหมดนี้ละ” ศิลาพูดพร้อมมองจ้องไปที่ชายชราที่เดินเข้ามา
“อย่างมากน้ำมันก็ราคาขึ้นซัก 5 – 10 เปอร์เซ็นเท่านั้น หากพวกเรายอมๆ หน่อยก็ไม่มีใครกล้าพูดจริงไหม”
“แต่คนหลายร้อยล้านคนต้องได้รับผลกระทบ โดยทีมีคนไม่ถึงร้อยคนได้รับผลประโยชน์ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ น้ำมันของประเทศเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั้งประเทศ ผมจะให้มันตกเป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้”
“แต่สุดท้ายนายก็ต้องเสียคนที่เป็นเหมือนน้องชายนายอีกคนไป นายไม่เสียใจเหรอ”
“ผมเสียใจ แต่โลกนี้มีคนที่ไม่ซื่อสัตย์มากเกินไป มันมากเกินพอแล้ว และผมก็ไม่ควรเป็นคนแบบนั้น”
ไม่ช้าชายชราก็มองจ้องไปที่หนังสือบนมือของศิลา “นายอ่านหนังสือเล่มนั้นอีกแล้ว นายเชื่อจริงๆ เหรอว่ามีคนที่เสียสละแบบนั้น เดินไปบนเขาเพื่อพบพวกยากจน มีวังใหญ่โต มีเงินมากมาย แต่ไปอยู่ในบ้านที่ที่พื้นที่ในบ้านส่วนใหญ่เป็นแปลงส่วน เพื่อเรียนรู้วิถีแห่งเกษตรเพื่อช่วยเหลือชีวิตของคนยากไร้ให้มีอาชีพ นายเคยบอกว่าคนๆ นี้ทำให้ฝนตกได้ คนๆ นี้สยบกลียุคได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ เพราะแบบนี้นายเลยชอบค้นหาประวัติศาสตร์เก่าๆ ในยุคสมัยของประเทศที่แตกแยกนี้เหรอ นายอยากเป็นเหมือนเขาคนนั้นเหรอ”
ศิลามองจ้องไปที่ชายชรา เขานิ่งคิดไปครู่ใหญ่
“ไม่… ผมเพียงแค่สงสัย ผมสงสัยว่าคนแบบนี้มีจริงๆ เหรอ ถ้ามีคนแบบนี้จริงๆ ตอนนี้ผมคงกำลังนั่งอ่านหนังสือเพียงอย่างเดี่ยว และอาจจะทำงานเป็นครูในโรงเรียนเล็กๆ ซักแห่ง แต่ยิ่งผมอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับราชาในประเทศที่แตกแยกนี้มากเท่าไร ผมก็พบว่าถ้ามันไม่ใช้ความฝัน ผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งใหญ่มากมายเหลือเกิน มันมากจนผมอยากรู้ว่าผมต้องพยายามมากขนาดไหนถึงจะก้าวไปสู่โลกแบบนั้นได้ มันคงเป็นโลกที่ยากลำบากมากจริงๆ ”
ชายชรายิ้มก่อนขยิบตา “นายควรเลิกอ่านมันซะแล้วคิดว่าเรื่องของกษัตริย์ในประเทศที่แตกแยกนั้นไม่มีอยู่จริง ไม่งั้นชีวิตนี้นายจะไม่มีวันได้พักเป็นอันขาด ”
ศิลายิ้มให้ชายชรา พร้อมทำมือไม่สนใจ ก่อนจะกลับไปที่โซฟาและเปิดหนังสืออ่าน ก่อนที่ชายชราจะเดินออกจากประตูไป ศิลาก็ตะโกนเสียงดัง
“ผมรู้นะว่าอาจารย์ก็ชอบอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกับผม”
ชายชราไม่ตอบได้แต่ยิ้มอย่างภูมิใจและเดินจากไป
ในห้องตอนนี้มีเพียงศิลาที่นอนอยู่เพียงคนเดี่ยว เขาขบคิดเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ชีวิตมากมายที่ต้องตายเพราะเขา และเช่นกันชีวิตที่มากมายยิ่งกว่าถูกช่วยไว้โดยตัวเขา
หลายปีมานี้เขามอบโอกาสให้ผู้คนมากมาย หยุดสงครามด้วยสงครามที่ทรงอำนาจมากกว่า
เข้าครอบครองเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม บังคับใช้กฏหมายที่มอบความปลอดภัยให้กับชีวิตส่วนใหญ่
เขาซื่อสัตว์และซื่อตรง แต่ถึงแบบนั้นผู้คนมากมายก็หวาดกลัวเขาอย่างมากมาย เขาเลือกสวมบทบาทของผู้ลงทันฑ์ ทรราชผู้กุมอำนาจที่เบ็ดเสร็จ
เพราะสิ่งที่เขาปรารถนาคือโลกที่มีแต่สันติสุข
และเพราะแบบนั้นทำให้ศิลารู้ได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งที่ควรพัฒนามากที่สุดในกระบวนการทั้งหมดของมนุษย์ไม่ใช่มีแค่ความเท่าเทียม การศึกษา หากต้องการให้โลกมีสันติสุขที่แท้จริง
หากแต่เป็นหัวใจของผู้คนต่างหากละที่จำเป็นต้องถูกพัฒนามากที่สุด หากแต่มันก็ยากยิ่งที่จะทำมัน
ศิลามองจ้องหนังสือโบราณ ก่อนจะพูดกับตัวเองเบาๆ อยู่คนเดี่ยว “คงมีเพียงเพราะองค์ที่ครองใจผู้คนได้มากมายแบบนั้น”
.
.
.
ศิลาหลับตานิ่งสนิท
ปล่อยอารมย์ของตัวเองล่องลอย และในขณะที่เขากำลังจะค่อยๆ หลับใหลลงไปนั้น ไม่ช้าก็มีเสียงดังก้องอันยิ่งใหญ่ดังมาพร้อมๆ กัน
“ข้าเลือกเจ้า”
“ส่วนข้าชอบเจ้า”