มหาศึกสงครามแดนเทพบรรพกาล
ณ ใจกลางมหามิติบรรพกาลอันกว้างใหญ่ มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่และทรงอำนาจยิ่งสถิติอยู่ อำนาจของเหล่าดวงจิตนี้บ่นดารา ดับห้วงจักรวาลได้ด้วยความนึกคิด หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในวันนี้พวกเขากับมีความกังวลใจยิ่ง
เสียงๆ หนึ่งอันทรงอำนาจยิ่งดังขึ้น
“มันเริ่มแล้ว…”
“ใช่ มันทรงอำนาจยิ่งกว่าเก่าก่อน หากแต่พวกเรากับอ่อนแอและเสื่อมทรามลง” อีกหนึ่งเสียงอันทรงอำนาจกล่าวตอบ หากแต่ถึงแบบนั้นน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเศร้าและอาลัย
“จิตใจแห่งมวลสรรพชีวิตตกต่ำ ไร้ซึ่งความกล้าหาญ มีแต่ความมัวเมา รอยแตกร้าวที่ปรากฏเกรงว่าในยุคสมัยต่อไปอีกนับอสงไขยมหามิติแห่งนี้คงมีแต่เหล่ามารเป็นแน่”
“!!!มันจะต้องไม่เป็นเช่นนั้น”
“หึหึ หรือว่าเจ้ามีทางมังกรชรา” เสียงอันยิ่งใหญ่เสียงหนึ่งดังขึ้น หากแต่เสียงนั้นก็แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยั่นอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าตัวเขานั้นจะทอดใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้แล้ว
“ข้าจะอัญเชิญสายเลือดแห่งพระเจ้าจักรพรรดิจากดินแดนอื่นในห้วงมิติที่แตกต่าง”
เมื่อสิ้นคำพูดของน้ำเสียงที่ถูกเรียกว่ามังกรชรา ณ ใจกลางมหามิติบรรพกาลอันก็กายเป็นนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ราวกับว่าเรื่องราวที่มังกรชรากล่าวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและทำได้ยากยิ่ง
ไม่ช้าก็มีเสียงอันยิ่งใหญ่ที่สดใส เป็นเสียงของสตรีดังขึ้น “ท่านมหาเทพมังกรจ้าวบรรพกาล ท่านรู้หรือไม่ท่านพูดอะไรออกมา ค่าใช้จ่ายในการทำสิ่งนี้สูงยิ่ง พวกเราจะขาดท่านไม่ได้”
“ข้าตัดสินใจแล้ว” เสียงอันยิ่งใหญ่ของผู้ที่ถูกเรียกว่ามังกรชรากล่าวอย่างหนักแน่น
ไม่ช้าอีกหนึ่งน้ำเสียงที่ยิ่งใหญ่ที่เคยดูแคลนมหาเทพมังกรจ้าวบรรพกาล และเป็นผู้ที่เรียกมหาเทพมังกรว่า มังกรชราก็ดังขึ้น หากแต่ในคราวนี้น้ำเสียงของเขาหาได้มีความดูถูกดูแคลนไม่ หากแต่มันเป็นน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยและอาลัยยิ่งหนัก
“พวกมันมีค่าให้เจ้าเสียสละเช่นนั้นรึ”
ไม่ช้ามหาเทพมังกรก็กล่าวตอบในทันที “พวกเขาต่างเป็นเชื้อสายของเรา แม้บางส่วนเริ่มตกต่ำ แม้บางส่วนเริ่มเสื่อมทราม หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ยังมองเห็นแสงสว่างในจิตใจของบางผู้คน แม้มันจะเริ่มน้อยนิดก็ตาม และเพราะแบบนั้นข้าจึงคิดว่ามันคุ้มค่า”
“ฮะฮาฮา มังกรชรานิเจ้า!!! ช่างเถอะในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว…” หลังพูดจบเสียงอันยิ่งใหญ่ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จากนั้นจึงกล่าววาจาต่อ “ข้าก็จะช่วยเจ้า” สิ้นเสียงอันยิ่งใหญ่ของมหาเทพผู้นี้ภายในใจกลางมหามิติบรรพกาลก็สั่นไหวในทันที
เหล่าจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่มาร่วมประชุมถึงกับตกใจจนถึงกับต้องออกปากพร้อมกัน
“ท่านมหาจักรพรรดิอสูรบรรพกาลนิท่าน!!!”
“พวกเจ้าไม่ต้องพูดข้าก็ตัดสินใจแล้วเช่นกัน ฮะฮาฮา ในเมื่อมหาจักรวาลนี้จะไม่มีเจ้ามังกรชราแล้ว ตัวข้าก็คงไร้ความหมายอีกต่อไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง ไอ้มังกรชราแก่… เราจะเริ่มกันเลยไหม เวลา ณ ตอนนี้เหลือเพียง 5000 ปี มิติแตกร้าวจะพังทะลาย”
“ก็ดี งั้นพวกเรามาเริ่มกันเถอะ ฮะฮาฮา”
“เราสองต่างเป็นคู่แข่งกันมานานปี หากแต่ไม่คิดเลยในวันที่ต้องดับสูญพวกเราจะได้ดับสูญไปพร้อมกัน ช่างเป็นวาสนานัก เจ้าจะมอบสิ่งใดให้กับเขาผู้ถูกเลือก”
“ข้าจะมอบจิตตราแห่งข้าแก่เขา”
“ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบร่างกายแห่งเทวะอันยิ่งใหญ่ของข้าแก่เขา ข้าหวังว่าสิ่งที่เรามอบให้เขานี้จะทำให้เขาทำการใหญ่ได้สำเร็จ แม้มันจะยากยิ่งก็ตาม”
“พวกเราได้แต่ลองดู”
หลังจากกล่าวจบดวงวิญญาณแห่งมหาเทพมังกรก็กลายเป็นลำแสงโผยพุ่ง ณ ใจกลางมหาจักรวาล เป็นแสงสว่างสีทองที่แฝงไว้ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่
จากนั้นไม่นานก็มีแสงสว่างสีดำม่วงโผยพุ่งตามไปมันล้อมรอบแสงสว่างสีทองของเทพมังกร
.
.
.
โลก ณ ปี ค.ศ. 2199
โลกได้เกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น ผืนแผ่นดิน 49% ของโลกไม่สามารถใช้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีเหนือและใต้เป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง จากการเป็นจุดทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงคราม
ยุโรปมากกว่าครึ่งหายไป อังกฤษ ฝรั่งเศษหายไปจากแผนที่โลกเช่นกัน
สหรัสอเมริกาแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นที่ชายฝั่งทั้งหมดหายไป แผ่นดินกว่า 72% มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อีก ประเทศจีนก็เช่นกันผู้คนนับพันล้านหลงเหลือรอดเพียงไม่กี่สิบล้านคนหลังสงครามโลกครั้งที่ 3
จุดยุทธ์ศาสตร์ที่รุ่งเรืองที่สุดของมนุษย์เปลี่ยนไป มันคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คน 90% ที่อยู่รอดหลังสงครามมาอาศัยอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ สาเหตุเพราะในโลกนี้มีพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่โดนอาวุธชีวภาพและระเบิดนิวเคลียร์เพียงไม่กี่จุด และหนึ่งในนั้นคือประเทศไทยในอดีต
แต่ถึงอย่างนั้น ณ ตอนนี้ ประเทศไทยก็ไม่มีอีกต่อไป นับตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น
ประเทศเล็กๆ แห่งนี้แตกแยกทั้งจากภายนอกและภายใน 90% ของคนพื้นเมือง ณ ประเทศแห่งนี้กลายเป็นทาส อดอยากจากผู้ครองอาณานิคมใหม่ตลอดระยะเวลาเกือบ 100 ปี
จนกระทั่งมีบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลง… เขาได้นำผู้คนนับล้านลุกขึ้นต่อต้านและเปลี่ยนแปลงประเทศนี้และโลกใบนี้ใหม่
เริ่มต้นตัวเขาไม่ได้คัดขืนต่ออำนาจของโลกนี้ หากแต่ตัวเขาเลือกที่จะแฝงตัวเข้าไปแทรกซึมจากภายใน เป็นคนของรัฐบาลผู้ปกครองสหพันธรัฐและประเทศนี้ เขาค่อยๆ กัดกร่อนอำนาจจากภายในช้าๆ ที่ภายในทีละส่วนทีละส่วน ทั้งด้านการเงิน สังคมและอำนาจทางทหาร สิ่งเหล่านี้แสดงถึงสติปัญญาและหัวใจที่เยือกเย็นอีกทั้งยังแข็งแกร่งของเขาได้เป็นอย่างดี จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้มีอำนาจและได้ปกครองประเทศนี้อย่างสมบูรณ์
แต่ถึงอย่างนั้นประเทศแห่งนี้ก็ยังเต็มไปด้วยการนองเลือด เสมือนว่ายุคสมัยนี้ไม่เคยสมบูรณ์ มันหิวโหยเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คนอยู่ตลอดเวลา
เขาใช้เวลาเกือบ 10 ปี สยบประเทศต่างๆ ทั่วโลก และในไม่ช้าเขาก็เป็นคนที่ยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของโลกนี้ แม้มันจะมีประชากร ณ ปัจจุบันเพียง 350 ล้านคนเท่านั้น เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 3 และการทำสงครามแย่งชิงอาหารและดินแดนกันตลอดร้อยปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 3
.
.
.
ในห้องที่โองโถงราวกับเป็นพระราชวังมีบุรุษผู้หนึ่งที่มีใบหน้าสะอาดแต่แฝงไว้ด้วยความสุขุม หากดูผ่านๆ ผู้คนมักคิดว่าตัวเขานั้นมีอายุเพียงยี่ปลายๆ หรือสามสิบต้นๆ เท่านั้น
หากแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ณ ตอนนี้อายุของสุภาพบุรุษผู้นี้ก็อายุ 45 ปีแล้ว ณ ตอนนี้เขากำลังหนังอ่านหนังสือโบราณอยู่
ในยุคสมัยนี้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยมอ่านหนังสือหรือหาความรู้ผ่านกระดาษบางๆ แบบนี้อีกต่อไป เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และหนังสือกระดาษก็มีราคาแพงมาก
แต่บุรุษผู้นี้ก็ดูมีความสุขเหลือเกินที่ตัวเขานั้นมีเวลาว่างมานอนอ่านหนังสือในห้องนี้
ผ่านใต้ความสงบอันเยือกเย็นของค่ำคืน ไม่ช้าก็มีคนมาทำลายความสงบของสุภาพบุรุษผู้นี้
“ไงท่านมหาบุรุษ หรือจะให้เรียกท่านประธานแห่งสพันธรัฐดี”
สุภาพบุรุษที่นอนอ่านหนังสืออยู่ปิดหนังสือที่อ่านอยู่ ก็จะเปลี่ยนเป็นท่านั่งด้วยทีท่าสบายๆ เขายิ้มให้บุรุษที่ก้าวเข้ามาในห้องและทำลายความสงบในการอ่านหนังสือของเขาอย่างอารมย์ดี
“ไงสบายดีเหรอ”
“ครับท่าน ผมได้ทำทุกอย่างตามที่ท่านบอกแล้ว และนิเอกสารรายงานรายละเอียดครับผม” แม้คำพูดของบุรุษผู้นี้จะดูเป็นทางการหากแต่ทีท่าที่แสดงออกมากับเป็นทีเล่นทีจริง นั้นแสดงว่าบุรุษผู้นี้มีความสนิทกับสุภาพบุรุษที่กำลังนั่งถือหนังสืออยู่เป็นอย่างมาก
“หยุดใช้คำเป็นทางการ แค่เรียกพี่ก็พอ”
“ok พี่ชาย” พูดจบเขาก็หยิบแท็บเล็ตพร้อมเปิดอ่านข่าวที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันอย่างเสียงดัง
“ท่านศิลาประธานแห่งสหพันธรัฐ ประกาศกฏการปกครองใหม่ ริเริ่มระบบลำดับชั้นของผู้คน บังคับใช้ภาษาทางการใหม่แก่ประเทศในอาณานิคมทั้งหลาด นอกจากนั้นยังมีการใช้กฏหมายแบบเข้มข้มในกลุ่มประเทศอาณานิคมหัวรุนแรง พี่คิดว่าข่าวนี้เป็นไง”
“ก็ดี…” น้ำเสียงของศิลาเรียบง่ายและดูไม่แย่แสกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“พี่รู้รึเปล่าว่าช่วงนี้ผมทำงานหนักมากเพราะพี่ คนตายเป็นเบือ ผู้ต่อต้านเป็นแสน กับกฏระบบลำดับชั้น พวกเขาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างกับระบบทาสในอดีต และปลอกคอควบคุมกฏที่ให้คนลำดับชั้นต่ำใส่ก็ดูจะสร้างเสียงวิพากษ์วิจารมาก…”
“แล้วทำไม…” ศิลาพูดพร้อมรอยยิ้ม แต่มันก็แฝงไว้ด้วยอำนาจ “ทำไมจะทำไม่ได้ นายรู้อะไรไม่ หัวใจของผู้คนถ้าไม่ถูกควบคุมและเอาแต่ตามใจสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร”
“พี่หมายความว่าไง…” บุรุษหนุ่มเอียงคอด้วยความสงสัย
“ปี ค.ศ. 2042 สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น ผู้คนต้องการเสรีภาพ หากแต่เสรีภาพนั้น ไม่ใช้เสรีภาพที่เสมอภาพกัน หากแต่เป็นเสรีภาพที่ตัวเขา ประเทศของเขาได้ผลประโยชน์ เมื่ออำนาจของโลกเสรีสั่นคลอนเสรีภาพ หรือประชาธิปไตยก็ไม่เคยมีอยู่จริงนับตั้งแต่วันนั้น ผู้คนต้องการสงคราม ผู้คนเกลียดชั่งซึ่งคนที่แตกต่าง แม้ไม่ใช่ทั้งหมด หากแต่โลกก็หมุนไปในทิศทางนั้น เพื่อสนองความต้องการของอำนาจและกระแสแห่งความเกลียดชั่ง สงครามเป็นสิ่งที่เรียงไม่ได้ นายรู้ไม่ว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอะไร”
“พี่… ผมไม่รู้”
“เพราะเสรีภาพที่ไม่มีขอบเขตมันได้กลืนกินจิตใจผู้คน ถ้าเราหยุดความเกลียดชั่งและควบคุมมันได้ก่อน สงครามโลกครั้งที่ 3 อาจจะไม่เกิดขึ้น หากแต่มันก็ไม่มีใครทำ เพราะโลกในยุคสมัยนั้นมันหมุนไปด้วยเงิน ผู้ที่ควบคุมกระแสแห่งเงินตรา ไม่มีวันหยุด และผู้ที่เดินตามกลิ่นแห่งเงินก็พร้อมที่จะเป็นธาตุของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้เลย โลกในยุคนั้น… เรามีระเบิ่ดนิวเคลียร์กันเท่าไร จนกระทั่งระเบิ่ดนิวเคลียร์ลูกแรกถูกปล่อยสู่ปักกิ่ง นับจากว่านั้นโลกเราก็พบว่าระเบิ่ดนิวเคลียร์ ที่เหล่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลาดครอบครองอยู่มีเท่าไร หากแต่ในปัจจุบันก็ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนที่แท้จริงคือเท่าไร หากแต่มันมากพอทำให้ผู้คน 90% ของโลกนี้ตาย แผ่นดินกว่า 72% มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อีก ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเพราะโลกนี้ไม่กฏและการควบคุมที่ดีพอ”
“สิ่งที่พี่พูดมันดูซับซ้อนจัง ผมรู้สึกว่าผมไม่เข้าใจเลย” บุรุษพูดพล่างเอามือเกาหัว
ศิลาสายหน้าก่อนจะเอามือเปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ และอ่านต่อ ไม่ช้ามันก็ไม่สะดุดสายตาของบุรุษหนุ่มผู้เรียกศิลาว่าพี่ชาย
“พี่กำลังอ่านอะไรนะ ผมเห็นพี่ชอบเปิดอ่านเล่มนี้บ่อยๆ”
ศิลายิ้มพร้อมรูปหนังสือก่อนกล่าวตอบ “หนังสือเรื่องราวของกษัตริย์ในยุคเก่าที่สยบกลียุคของประเทศได้ด้วยคำพูด นายรู้ไหมมันดูเหมือนเรื่องราวที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงๆ ฉันกำลังค้นคว้าเรื่องนี้อยู่ นายรู้ไหมมันช่างน่าอัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำได้ง่ายๆ เลย”
“เขาคือใครเหรอพี่”
“กษัตริย์ของประเทศที่แตกแยก คนพื้นเมืองเก่า ณ ส่วนกลางของสหพันธรัฐ ชื่อเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ประเทศไทย”
“เหมือนพี่ก็เคยบอกว่าพี่มีสายเลือดของคนพื้นเมืองที่นี่ พี่มีสายเลือดของประเทศที่แตกแยกนี่ด้วยรึเปล่า”
ศิลาพยักหน้าเบาก่อนตอบว่าใช่
“เพราะแบบนี้พี่เลยชอบอ่านหนังสือเล่มนี้สินะ แล้วพี่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า”
“ไม่รู้สิมันนานมากแล้ว พี่พยายามร่วมรวมข้อมูลจากหนังสือเก่าๆ และข้อมูลจากคลังข้อมูลหลายแห่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 3 โลกเราถอยหลังไปมาก แต่ถึงแบบนั้นสิ่งหนึ่งที่พี่รู้ได้แน่นอน พระองค์เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ”
ศิลาพูดพร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
“เยี่ยมเลย วันนี้ผมได้รู้อะไรมากเลย ผมคิดว่าผมไม่กวนพี่แล้วละ พี่นอนอ่านหนังสือไปเถอะ ผมจะกลับไปทำงานแล้ว”
หากแต่ในช่วงเวลาที่ศิลากำลังพลิกตัวนอนและกำลังจะเปิดหนังสืออ่านนั้น
“!!!ปังๆๆ”
เสียงปืนก็ดังขึ้นสามนัดติด