Skip to main content
มหาศึกสงครามเทพบรรพกาล

มหาศึกสงครามแดนเทพบรรพกาล ตอน 4

By 21/04/2021No Comments

ในห้องเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นกระโจมที่ทำด้วยหญ้าแห้งแบบหยาบๆ นั้น มีเด็กหนุ่มน้อยที่มีผมสีเงินกำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่ ณ ที่ตรงนั้น ไม่ช้าเขาก็เริ่มขยับตัวได้ ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มได้สติแล้ว

“ไม่ได้ฝันไปสินะ… รู้สึกปวดไปทั้งตัว” ศิลาพูดบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนสำรวจร่างกายของตัวเอง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ถึงกับต้องตกใจ พร้อมกับบ่นในใจตัวเองอีกครั้ง “เป็นเรื่องจริงเหรอนี่” นั้นเพราะ ณ ตอนนี้เขามาอยู่ในสถานที่ที่แตกต่าง มันไม่ใช่โลกเดิมของเขาอย่างแน่นอน

และสองแขนที่รีบเล็กเหมือนแขนเด็ก นอกจากนั้นเมื่อศิลาสังเกตุที่มือทั้งสองข้างของตัวเอง ที่ตรงกลางมือนั้นเหมือนกับว่ามีผลึกอัญมณีฝั่งอยู่ ด้านซ้ายเป็นสีทองสวยงาม ด้านขวาเป็นสีม่วงดำดูลึกลับและน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนนั้นเองตัวศิลายังไม่ทันมีสติสมบูรณ์ดู ก็มีหญิงสาวผิวสีน้ำผึงที่มองผ่านๆ น่าจะมีอายุไม่เกิน 17 ปี เดินเข้ามา

เพียงแค่ชายตามองครู่เดี่ยว ศิลารับรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่มนุษย์บนโลกของเขาเป็นแน่ นั่นเพราะดวงตาสีทองของเธอไม่ใช่สิ่งที่มีบนโลกของศิลา เธอเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะสอบถามอากรของศิลา

สิ่งที่น่าแปลกใจ มันไม่ใช่ภาษาที่ศิลารู้จัก แต่ถึงอย่างนั้นตัวศิลาเองก็เข้าใจมันทั้งหมดในทันที

“ที่นี่คือที่ไหน” ศิลาถาม

หากแต่หญิงสาวเลือกที่จะไม่ตอบมันก่อนย้อนถามศิลา “ไม่ใช่ข้ารึที่ต้องถามเจ้าว่าเป็นใครมาจากไหน เจ้าเป็นคนเผ่าใดผมสีเงินของเจ้าแสดงว่าเจ้านั้นแตกต่างจากพวกเรา”

ศิลานิ่งเงียบในทันที จะพูดยังไงดีละ ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง แม้ตัวเขาจะยังไม่ได้เห็นหน้าตาของตัวเองในตอนนี้ แต่เพียงแค่หญิงสาวพูดถึงเรื่องเส้นผมสีเงิน เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่านิต้องไม่ใช้ตัวเขาแน่นอน เพราะตัวตนเดิมของเขานั้นมีเส้นผมสีดำสนิท นอกจากนั้นยังอัญมณีที่ฝั่งอยู่ที่กลางมือทั้งสองข้างเขาอื่น

ด้วยความที่ไม่สามารถอธิบายใดๆ ได้ เขาจึงเลือกที่จะตอบว่าไม่รู้ไปก่อน ศิลาเลือกเล่นบทความจำเสื่อมมันดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เขาทำได้นะตอนนี้

“ข้าไม่รู้ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ศิลาตอบพร้อมแกล้งเอามือจับหัว และทำทีท่าเหมือนว่าปวดหัวมาก ศิลาได้แต่คิดลึกๆ ในใจหวังว่านางจะเข้าใจเขา

“!!!เอ๊ะ นิเจ้าเป็นอะไร ปวดมากรึเปล่า” หากแต่ในความเป็นจริงนอกจากนางจะเอาใจใส่เขาแล้วยังดูเหมือนว่าเป็นห่วงเขามากๆ อีกด้วย “นิถ้าเจ้าไม่ไหวก็นอนพักไปเถอะนะ อย่าพยายามคิดอะไร เชื่อข้า… นอนลง นอนลง”

ศิลานอนลงอย่างว่าง่าย ไม่ช้านางก็เอยปากพูดแนะนำตัวเองขึ้น โดยที่ตัวของศิลาไม่ได้เอยปากถามเลย “ข้าชื่อกิซา ส่วนคนที่ช่วยเจ้าไว้คือพ่อข้าชื่อของเขาคือโซคิ เจ้าจำชื่อของตัวเองได้ไหม”

ศิลาส่ายหัวทันที เขาเลือกแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมต่อ แต่ในไม่ช้าศิลาก็เริ่มคิดว่าวิธีนี้มันผิด

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าเอง” นางนั่งนิ่งทำทีท่าครุ่นคิดอยู่นาน “คิคิคาคิคิ ดีไหม เจ้าชอบรึเปล่า”

ศิลาส่ายหัวทันที เขารู้สึกว่าชื่อนี้ดูแปลกจนเกินไป และเขาไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ช้ากิซาก็เริ่มคิดชื่อใหม่ให้ศิลาอีกครั้งในทันที ไม่ช้านางก็เหมือนคิดอะไรได้ “จิจิจี่จิ เป็นไงเจ้าชอบรึเปล่า”

ศิลาส่วยหน้าอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มรู้สึว่าผู้หญิงคนนี้มีปัญหาในการตั้งชื่ออย่างมาก

“ถ้างั้นโบโบคุคุละ”

ศิลาพยายามควบคุมใบหน้าของตัวเองให้นิ่งไว้ หากแต่ถึงจะพยายามแล้วห่างตาของเขาก็กระตุกๆ เล็กๆ อยู่ดี แม้ตัวเขาจะไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องของชื่อเรียกก็ตาม หากแต่ถ้ามีใครมากเรียกเขาว่า คิคิคาคิคิ จิจิจี่จิ หรือโบโบคุคุ เขาคงปวดหัวน่าดู ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาศิลาจึงแกล้งทำเป็นปวดหัวอีกครั้งแล้วพูดชื่อของตัวเองขึ้น “ศิลา”

“ชื่อดี ข้าชอบมัน งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าศิลา แต่เจ้ายังไม่มีตระกูล ถ้างั้นเจ้าก็ใช้ตระกูลข้าไปก่อนแล้วกัน ข้ากิซา ราเมไน ส่วนตัวเจ้าศิลา ราเมไน”

ศิลาได้แต่รอบดีใจที่ชื่อตระกูลนางไม่ใช่ คิคิ จิจิ โบโบ ไม่งั้นเมื่อเขาอยู่ในโลกนี้เขาจะไม่มีทางบอกชื่อตระกูลที่เขาได้รับจากนางให้ใครฟังแน่

ในไม่ช้าก็มีชายร่างใหญ่เดินเข้ามา และคนผู้นี่น่าจะเป็นที่ช่วยเขาไว้และเป็นพ่อของกิซาเป็นแน่ นอกจากรูปร่างอันใหญ่โตของเขา ใบหน้าของโซคิก็ดูโดดเด่นมากอยู่ทีเดี่ยว มันดูคมสันอย่างชายชาตรี นอกจากนั้นแววตาของโซคิก็สะท้อนถึงความซื่อตรงและกล้าหาญอยู่มากทีเดี่ยว

เขาเดินเข้ามาจับไหล่ของศิลาเอาไว้ ก่อนจะทำบางอย่าง อยู่ดีๆ มือของโซคิก็ค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อยขึ้นเรื่อยๆ

ศิลารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างกำลังวิ่งไปทั่วร่างกายของตัวเขา แต่เขาไม่รู้เลยว่านี่คือปรากฏการณ์ของอะไร และมันเริ่มค่อยๆ สร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเขาไม่น้อย โซคิเหมือนจะรู้ว่าศิลารู้สึกอย่างไร เขาจึงออกปากพูดในทันที “จงทนไว้สิ่งนี่จะดีต่อเจ้า พลังธรรมชาติของเจ้าเหือดแห้ง มันดูประหลาดจริงๆ เมื่อเจ้าได้รับพลังส่วนหนึ่งของเจ้าไปมันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น แต่มันคงจะเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มเจ้าจงอดทนหากเจ้าเป็นลูกผู้ชาย”

พูดจบโซคิก็ยิ่งส่งพลังมากขึ้นมากขึ้น ศิลานั่งนิ่งเขากัดฟันข่มความเจ็บปวดและแสบร้อนทั่วร่างเอาไว้ มันราวกับว่ามีคนเอาเหล็กร้อนทาบเนื้อหนังภายในร่างเขาจากภายใน ร่างของศิลาสั่นไปทั้งตัว หากแต่ศิลาก็เลือกที่จะไม่ร้องออกมา

โซคิเห็นดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ แม้เขาจะบอกให้เด็กหนุ่มตรงหน้าออกทน แต่กระบวนการถ่ายพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะที่เป็นธาตุไฟอย่างของโซคินั้นมันปวดร้าว แสบร้อนและทรมาณอย่างยิ่ง โซคินึกถึงตอนที่ตัวเองได้รับถ่ายพลังธรรมชาติครั้ง ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 15 ปี นอกจากต้องมีคนจับร่างเขาไว้ไม่ให้ดิ้นสามสี่คนแล้ว ตัวเขาเองยังร้องไห้และตระโกนเสียงดังว่าไม่ไหวและพอแล้ว พอแล้ว

หากแต่เด็กหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขายังคงกัดฟันทนไหว

ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่มีความอดทนกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่มากทีเดี่ยว

กิซาที่อยู่ข้างๆ ก็ถึงกับแปลกใจเช่นกัน เพราะนางก็รับรู้ถึงความทรมาณของการรับพลังธรรมชาติที่เป็นธาตุไฟ นางรู้สึกว่านางเกือบตาย แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวคนนี้ไม่รู้เลย คือความหนาแน่นของพลังธรรมชาติที่นางเคยได้รับ กับของที่ศิลาได้รับจากโซคินะตอนนี้มันช่างต่างกันนับสิบเท่า นั้นเพราะว่าธาตุไฟที่นางได้รับเป็นเพียงการกระตุ้นพลังธรรมดาตามประเพณีของนาง

หากแต่ของศิลาตอนนี้ มันคือการรักษารากชีวิตที่เหือดแห้ง โซคิต้องการกระตู้นเพื่อให้รากชีวิตของศิลาทำงานได้ปกติอีกครั้ง ดังนั้นพลังธรรมชาติจึงรุนแรงมากว่าของกิซานับสิบเท่า

แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีเสียงร้องใดๆ ออกมาจากศิลาแม้แต่น้อย

ไม่ช้าเหงื่อก็ชุ่มร่างของศิลา ส่วนโซคิก็ดูเหมือนจะเหนื่อยๆ ทุกอย่างดูราบรื่นกว่าที่โซคิคิดเอาไว้มาก โซคิไม่ได้พูดอะไรมากเพียงแต่บอกให้ศิลาพักผ่อน ไม่ช้าเขาก็เดินจากไปพร้อมกับกุมมือของกิซา

เขาบอกว่าเด็กหนุ่มต้องการพักผ่อน

และมันก็เป็นจริงอย่างที่โซคิพูด ศิลารู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างมาก ตาของเขาค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ อย่างห้ามไม่ได้ แม้ศิลาจะสนใจและอยากรู้ว่าสิ่งที่โซคิทำกับเขานั้นคืออะไร หากแต่ตอนนี้ความก็ต้านทานความปรารถนาที่จะหลับใหลของร่างกายไม่ได้เลย

ไม่ช้าเขาก็หลับลงไป

Leave a Reply