Skip to main content

.
.
.

“ท่านป้านั่งรอตรงนี้สักครู่หนึ่งนะเจ้าคะ ข้าจะเป็นคนติดต่อท่านหมอให้ท่านเจ้าคะ” พานลี่นางกล่าววาจาน้ำเสียงใส

“ขอบคุณคุณหนูพานลี่มากๆ เลยนะเจ้าคะ” แม่ของเฉียวเฟิงซาบซึ้งน้ำใจนางยิ่งนัก

พานลี่เอียงอายมองมารดาของเฉียวเฟิงครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของศิษย์พี่ นางแอบละอายใจเล็กน้อย สิ่งที่นางทำหาได้มีอะไรสำคัญไม่ เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่จัดสรรทั้งหมด

ไม่ช้านางก็ยิ้มและกล่าวคำพูดด้วยความเกรงใจ

“ท่านป้าอย่าพูดเช่นนี้กับพานลี่เลยนะเจ้าคะ มันให้เกียรติจนเกินไป สุภาพจนเกินไป ท่านป้าเพียงคิดว่าพานลี่เป็นลูกหญิงท่านคนหนึ่งก็พอ รักข้าเพิ่มอีกนิด เมตตาข้าอีกหน่อยก็พอแล้วเจ้าคะ อย่าได้เกรงใจพานลี่อีกเลย”

“งั้นรึ…” มารดาของเฉียวเฟิงยิ้ม พร้อมพยายามลดคำพูดที่สุภาพและให้เกียรติจนเกินไป

พานลี่ยิ้มแล้วกอดมารดาของเฉียวเฟิง นางทำตัวคล้ายเป็นลูกหญิงของท่านแม่ขอเฉียวเฟิงจริงๆ

ส่วนตัวเฉียวเฟิงตอนนี้แอบมองทั้งสองกอดหอมกันเสมือนหนึ่งแม่ลูกรักใคร่พลางคิดในใจ ‘ท่านแม่เงินทั้งหมดที่ท่านและพานลี่ใช้ข้าเป็นคนจ่ายเอง’

.

.

.

จากนั้นไม่นานก็มี 2 บุรุษรุ่นเยาว์วัยน่าจะประมาณ 17 ถึง 20 ปี รีบเดินมาหาทั้ง 2 หลังจากพานลี่ทำการติดต่อเพื่อขอรับการรักษา

ทั้งสองเชิญเฉียวเฟิงและมารดาเข้าไปภายในพบท่านหมอผู้ชำนาญภายในตำหนักแพทย์

ระหว่างทางเฉียวเฟิงเฝ้าสังเกตตลอดเส้นทาง เพราะสถานที่แห่งนี้แทบไม่แตกต่างจากโลกแห่งเกมที่ตัวมันเคยเล่นเลย

และถ้าแบบนั้น ก็เป็นไปได้ว่าที่ใต้สำนักแห่งนี้จะมีความลับอันยิ่งใหญ่บางอย่าง

จุดเคลื่อนกำลังคนหรือประตูมิติที่ผู้คนทั่วไปชอบเรียก

เฉียวเฟิงในโลกแห่งชีวิตก่อนชอบใช้ประตูมิติตรงนี้เสมอในสมัยที่เล่นเกม แม้คิดได้แบบนี้ แต่ตัวมันก็ยังไม่คิดว่าจะเข้าประตูมิตินี้จริงๆ

เพราะเส้นทางที่ประตูมิติส่งไปนั้นช่างเต็มไปด้วยอันตรายในปัจจุบัน

แต่ถึงแบบนั้นก็แลกมาด้วย การที่ในดินแดนนั้นมีสมุนไพรวิเศษมากมายให้ค้นหา นอกจากนั้นยังมีผลึกธาตุพลังสัตว์อสูรระดับสูงต่างๆ อีกมากมายให้ล่า

แต่ขอบเขตพลังที่ควรเข้าไปนั้น ขั้นต่ำก็ไม่ควรน้อยกว่าระดับจ้าวยุทธภพขั้น 1 เป็นอย่างน้อย แต่ถึงอย่างนั้น จากความรู้ในโลกแห่งเกม

ณ ดินแดนแห่งนั้นแม้จะเป็นถึงครึ่งเทพที่รับรู้กันว่าแข็งแกร่งยิ่ง ซึ่งแข็งแกร่งจนดับสลายโลกใบนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว หากแต่ในสถานที่แห่งนั้นในบางสถานการณ์ครึ่งเทพก็ยังไม่ปลอดภัย

และเพราะแบบนี้ แม้ตัวเฉียวเฟิงจะมั่นใจว่า ตัวเองพอเอาตัวรอดได้จากประสบการณ์ในชีวิตเก่า แต่ตอนนี้ก็ไม่กล้า และไม่มีเหตุจำเป็นต้องรีบเข้าไปในประตูมิตินั้น เพียงแต่คิดนึกในใจ และรู้สึกดีใจยิ่งที่รู้ว่าโลกใบนี้และเกมเสมือนจริงในชีวิตก่อนนั้นเหมือนกันจริงๆ ด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นทางการยกระดับฝึกฝนของตัวมันเองดูท่าจะไม่ยากลำบากเลย

สิ่งที่แตกต่างในโลกแห่งนี้กับเกมที่เฉียวเฟิงเล่น คือการเพิ่มระดับนั้นไม่เกี่ยวกับจำนวนการฆ่าเลย แต่เป็นการฝึกฝน และความเข้าใจพร้อมต้องดูดซัพธาตุพลังต่างหาก

ดังนั้นเฉียวเฟิงตั้งแต่มาโลกนี้ก็ไม่เคยลงมือฆ่าสัตว์อสูรเลย แม้ในป่าลึกบริเวณหลังหมู่บ้านสวนไผ่ เฉียวเฟิงก็ใช้เพียงพวกสัตว์อสูรที่มีอยู่น้อยนิด ใช้พวกมันเพื่อเป็นคู่ซ้อมในการฝึกฝนการต่อสู้และสุดท้ายก็ปล่อยมันไปในที่สุด โดยบางครั้งเฉียวเฟิงยังแบ่งอาหารและทายารักษาให้พวกมันอีกด้วย… แม้สัตว์อสูรในโลกนี้จะมีอยู่มากก็ตาม แต่เฉียวเฟิงก็ไม่ชอบการฆ่าและการพรากชีวิตที่ไม่จำเป็น

เมื่อเดินเข้าไปในห้องไม่ช้าก็พบกับท่านหมอหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาและดูเยาว์วัยผู้หนึ่งนั่งอยู่ หน้าตาของท่านหมอดูสดใส หากเทียบกับโลกเดิมของเฉียวเฟิงท่านหมอดูมีอายุเพียง 20 – 24 ปีเท่านั้น แต่เมื่อมองอย่างละเอียดเฉียวเฟิงก็ถึงกับตกตะลึง เพราะตัวมันจำบุรุษผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

เพราะท่านหมอคือ… ‘!!!หมอเทวดาอันดับ 1’ แห่งแผ่นดิน

เมื่อท่านหมอเห็นเฉียวเฟิงและมารดาก็พูดขึ้นทันที “ไม่ทราบว่าข้าจะต้องรักษาใคร” พร้อมมองทั้งสองคนด้วยสายตาที่เมตตายิ่ง ท่านเทวดาทำมือเชิญทั้งสองนั่งลง

หนุ่มน้อยสองคนผู้ไม่รู้ฐานะแท้จริงของท่านหมอเทวดาพลางทำมือและชี้ไปที่ฝ่ายหญิงและรีบกล่าวคำ “เฉพาะสตรีนะขอรับท่านหมอ”

พานลี่ที่นั่งรออยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้วก็รีบพูดเช่นกัน “เฉพาะท่านน้าของข้าเจ้าคะท่านหมอ ส่วนอีกคนเป็นลูกของนางไม่จำเป็นต้องรักษา เฉียวเฟิงเขาแข็งแรงมากเจ้าคะ”

ท่านหมอมองอย่างสนใจ นั่นเพราะเฉียงเฟิงและมารดาใส่เสื้อผ้าธรรมดาและดูยากจนต่างกับพานลี่ที่ใส่เสื้อผ้าชั้นดีมีราคาบ่งบอกถึงฐานะได้เป็นอย่างดี และก็เป็นธรรมดาที่สำหนักแพทย์ยิ่งใหญ่นั้นมีแต่ผู้มีฐานะเท่านั้น จึงจะเข้ามารักษากับศิษย์ตำหนักในเช่นนี้ได้ เพราะถ้าฐานะไม่ดีจริงก็จำเป็นต้องรักษาที่ตำหนักนอกเป็นส่วนใหญ่

แต่ถึงแบบนั้นความเชี่ยวชาญและความสามารถก็มีความแตกต่างกันอยู่มากเฉียวเฟิงรู้เรื่องนี้ดี เพราะแบบนั้นมันจึงเลือกเข้ามาภายในนี้

แต่ถึงแบบนั้นตอนนี้เฉียวเฟิงก็รู้สึกคุ้มค่ายิ่งแม้ต้องจ่ายเงินจำนวน 1 เหรียญทอง นั่นเพราะตัวมันรู้อยู่เต็มอกว่าผู้รักษาเป็นใคร และมีฐานะเช่นไร

เพราะแม้แต่ในเกมก็ไม่ใช่ว่าใครจะได้มีโอกาสเจอท่านหมอเทวดาได้ง่ายๆ แบบนี้

แต่ในที่นี้ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักตัวตนจริงๆ ของท่านหมอเทวดาเท่าไรเลย เพียงแค่ดูจากศิษย์ในสำนักวัยหนุ่มทั้ง 2 ที่พาตัวมันและมารดาแม่ลูกเข้ามาก็พอ เพราะต่างเรียกท่านหมอเทวดาว่าศิษย์พี่ แสดงให้เห็นว่าหมอเทวดานั้นปลอมตัวเป็นศิษย์ในของสำนักอยู่ก่อนแล้ว

หมอเทวดาเพียงจับชีพจรเล็กน้อยและสอบถามอาการมารดาของเฉียวเฟิง

จากนั้นก็บอกอย่างรวดเร็วว่าเป็นเนื้อร้ายในลำไส้ จากนั้นโฆษณาตัวเองเล็กน้อยก่อนพานางไปห้องด้านข้างแล้วเข้ารักษา โดยให้เฉียวเฟิงและพานลี่รออยู่ด้านนอกซักครึ่งชั่วยาม จากนั้นท่านหมอและศิษย์รุ่นเยาว์อีกสองคนจึงเดินออกมา

.

.

.

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่ช้าท่านหมอเทวดาก็เดินออกมา

“ไม่ต้องกังวลนะทั้งสอง ด้วยฝีมือของพี่ชายคนนี้ ตอนนี้มารดาของเจ้าหายดีแล้วเพียงแต่ต้องพักรักษาตัวที่นี่สัก 3 วันน่าจะดี เพื่อที่มารดาของเจ้าจะได้ฟื้นตัวเสียหน่อยค่อยจากไป นอกจากนั้นทุกเดือน พานางมาหาข้าเป็นระยะ ระยะนะ” ท่านหมอกล่าวคำพร้อมด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสองพูดพร้อมกัน ” 4 เหรียญทอง”

หมอเทวดาพลางยกมือขึ้น ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสองด้านหลังทำหน้าเบื่อโลกเหมือนกับว่า ภาพเหตุการณ์นี้ช่างเป็นเหตุการณ์คุ้นเคย ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนทั้งสองเอือมระอา พร้อมบ่นด้วยเสียงเบาๆ ให้ท่านหมอเทวดาได้ยิน “ศิษย์พี่นะศิษย์พี่ท่านเอาอีกแล้ว แล้วแบบนี้พวกข้าจะได้เงินค่าช่วยเหลืองานได้อย่างไร แม้ท่านจะเก่งสอนวิชาก็เถอะ แต่ถึงแบบนั้นพวกข้าก็ต้องการเหรียญเงินเหรียญทองในกระเป๋าบ้างนะขอรับ เห่อออออออ”

อีกคนก็พูดกล่าวแกล้งทำกระซิบกลับหากแต่เสียงก็ดังพอที่ทุกคนจะได้ยิน “ข้ายอมรับในฝีมือของศิษย์พี่นะ แต่ข้าคิดว่าศิษย์พี่ของเราก็เป็นแค่คนบ้าคนหนึ่ง มิเช่นนั้นต้องชอบเงินเหมือนเราสิ หากแต่นี่อะไร เจอคนถูกใจไม่เคยเก็บเหรียญเงิน เหรียญทองเลย คงเป็นคนบ้าที่ตระกูลร่ำรวยเป็นแน่ถึงทำเช่นนี้ได้”

แม้หมอเทวดาจะได้ยินก็ไม่ถือโกรธรุ่นเยาว์ทั้งสองได้แต่หัวเราะแล้วกล่าวคำ “ถ้าพวกเจ้าไม่พอใจก็ไปฟ้องท่านเจ้าสำนักเลยสิ ฮะฮาฮา”

ทั้งสองใช่ว่าจะไม่เคย แต่ท่านเจ้าสำนักมิเคยทำอะไรศิษย์พี่ผู้นี้เลย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าศิษย์พี่ผู้นี้แท้จริงคือใคร… และทำไมจึงไม่กลัวท่านเจ้าของโรงหมอแห่งนี้เลย

พานลี่เห็นดังนั้นก็โค้งกายคำนับขอบคุณ

!!!ส่วนเฉียวเฟิงมองเห็นโอกาสทองจึงเล่นใหญ่กว่านางคุกเข่าก้มคำนับขอบคุณ แสร้งทำสีหน้าเศร้า ทำตัวว่ายากจนจริงๆ หมายสร้างความประทับใจต่อท่านหมอเทวดา

ท่านหมอเทวดาเห็นเช่นนี้จึงรีบจับมือเด็กน้อยลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นเอง ก็ปล่อยมือเพราะความตกใจปากกล่าวขึ้นในทันที “อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แท้จริง ฮะฮาฮา”

พานลี่มองและรู้ว่าท่านหมอพูดคล้ายมีความนัยอะไรบางอย่าง

ส่วนหมอศิษย์รุ่นเยาว์แห่งท่านหมอเทวดาทั้งสองด้านหลังต่างยืนงงงัน…

เด็กขอทานนี้นะอัจฉริยะรุ่นเยาว์

คิกคิกคิก

ทั้งสองหัวเราะเอามือปิดปาก