Skip to main content

แต่วาสนาของผู้คนช่างเป็นสิ่งลี้ลับ

ช่วงเวลานั้น ‘ภัตตาคารอาหารหวนคำนึง’ พึงสร้างเสร็จพอดี หมิงเค่อมีความคิดที่จะสร้างบรรยากาศเก่าๆ ที่ตัวเขาคุ้นเคย ร้านอาหารที่เขาอยากสร้างขึ้นและมาดื่มกินในช่วงปั้นปลายชีวิต คือร้านอาหารที่เมื่อนั่งทานมีเสียงดนตรีคลอ

ภัตตาคารอาหารหวนคำนึงจึงเปิดรับสมัครนักร้อง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญสวินจื่อหรานต้องการหางานเพื่ออาศัยในเมือง และนางเก่งเรื่องร้องเพลงยิ่งพอดี

และในวันที่นางมาสมัครงาน เป็นครั้งที่สองที่หมิงเค่อและนางพบกัน บรรยากาศแปลกๆ ไปสักนิด

หมิงเค่อในตอนนั้นมีความชอบ แต่ในใจไม่มีเรื่องชู้สาว เขาเพียงมองว่าสวินจื่อหรานงดงามในแบบที่ตนชอบ แต่ก็ไม่ได้คิดเกินเลยอะไร

หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านการพูดคุย

ผ่านความเข้าใจเรื่องดนตรี

ถกกันเรื่องอาหาร

บางครั้งพูดคุยกันเรื่องบ้านเมือง หมิงเค่อพบว่าเขากับสวินจื่อหรานเข้ากันได้ดีอย่างประหลาด

แม้แต่สวินจื่อหรานก็ประทับใจหมิงเค่อยิ่ง

ความรู้เรื่องดนตรีและการสร้างทำนองใหม่ของเขาช่างอัศจรรย์ นอกจากนั้นพอรู้ว่าหมิงเค่อได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีมีชื่อหลายชนิดแก่แคว้นวาสนาม่วง ดวงตาสวินจื่อหรานก็มีประกายพิเศษ

ส่วนเครื่องดนตรีแปลกใหม่ของโลกนี้คืออะไร…

แน่นอนว่าเป็นเครื่องดนตรียอดนิยมจากโลกเก่าแบบต่างๆ

หมิงเค่อเป็นคนรักดนตรี จึงไม่ยากที่เขาจะสร้างเครื่องดนตรีที่ถนัดมือออกมาได้ และยิ่งไม่อาจจะบ่มเพาะวิถีนักยุทธ์ โลกใบนี้ก็มีสิ่งที่หมิงเค่อยากทำไม่มากนัก

เขานำกีตาร์ กลองชุด เบส เข้ามาสู่โลกใบนี้ ใจจริงหมิงเค่ออยากทำเปียโนด้วย แต่น่าเสียดาย ในชีวิตก่อนตัวเขาแม้จะเล่นเปียโนได้ แต่ก็เล่นได้ในระดับอนุบาลเท่านั้น ตัวหมิงเค่อคิดว่าสร้างออกมาก็เสียของ เขาเล่นไม่เก่งจึงไม่สร้างดีกว่า นอกจากนั้นเปียโนก็ซับซ้อนเกินไป

เพียงแต่แค่การสร้างเครื่องดนตรีสามชิ้นนี้ออกมา ชื่อเสียงของหมิงเค่อก็โด่งดังไม่น้อยในวงการนี้

โดยเฉพาะเมืองไข่มุกโลหิตแห่งนี้ ปัจจุบันแทบจะกลายเป็นเมืองแห่งศิลป์อีกแห่งไปแล้ว เพราะมีการตั้งสำนักสอนดนตรีและจัดแสดงงานศิลป์เฉพาะต่อเนื่อง

วันเวลาค่อยๆ ก้าวผ่าน เพราะได้รู้จัก ได้พูดคุยกันในฐานะนายท่านกับข้ารับใช้ที่เท่าเทียม

หมิงเค่อพบว่าเขาหลงรักสตรีผู้เคยผ่านเรื่องราวชายหญิงนางนี้

และด้วยหมิงเค่อคือชายที่มาจากอีกโลกที่วัฒนธรรมเปิดกว้างเสรี เขาไม่ติดใจที่นางเคยแต่งงานและมีลูก

ในปีที่สามที่ทั้งสองรู้จักกัน หมิงเค่อขอนางแต่งงาน

พี่หญิงใหญ่หมิงฉินหยาง แม้ไม่อยากให้น้องชายแต่งภรรยาคนแรกเป็นหญิงม่าย แต่นางก็ไม่อาจทัดทานหมิงเค่อ

เพียงแต่…

แม้หมิงเค่อจะมีบรรดาศักดิ์ ‘ขุน’ แถมร่ำรวยแทบจะเป็นอันดับหนึ่ง ณ เมืองไข่มุกโลหิต

แต่…

“นายท่าน สตรีจื่อหรานเป็นแค่หญิงม่ายต่ำต้อย ข้าไม่อาจจะ… แบกรับวาสนายิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่คู่ควรกับท่านเจ้าคะ” นี่คือคำตอบของนาง

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่หมิงเค่อทำอะไรแบบนี้

เขาไม่สนใจอดีตของนาง

ไม่สนใจว่านางผ่านอะไรมาก่อน

เขาแค่รักนางอย่างจริงใจ

เขาอยากดูแลนาง

อยากให้นางมีความสุขก็เท่านั้น

วันนั้นแทบจะเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่หมิงเค่อรับรู้ถึงความรู้ของการผิดหวังในความรักเป็นอย่างไร ไม่สิ… ความรู้สึกนี้ จริงๆ ไม่ใช่ครั้งแรก

ในวันที่ตัวเขาอยู่กับพี่สาวร่วมสาบาน ‘มี่ฮุนหรัน’ และตัวเขาไม่อาจจะพูดความรู้สึกในใจของตัวเองออกไป ไม่อาจจะพูดว่าเขาอยากปกป้องนาง เขาอยากให้นางอยู่ในชีวิตของตัวเขา ในวันนั้นหมิงเค่อก็เจ็บปวดแบบนี้

มันคือความรู้สึกที่คล้ายอยู่ๆ ร่างกายราวกับไม่ใช่ของตัวเอง แม้มีเรี่ยวแรงก้าวเดิน แต่ทั้งร่างคล้ายชาไปหมด

สวินจื่อหรานหลั่งน้ำตา หมิงเค่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง เขารู้สึกว่านางก็มีหัวใจให้เขา แต่ทำไมนางถึงปฏิเสธ หรือเพราะ… ร่างกายที่แก่ชรา อายุขัยที่สั้นของตัวเขา

หมิงเค่อไม่คิดหาคำตอบ

เขามีเส้นแดงที่ขีดไว้ในใจตัวเอง

ซึ่งเส้นแดงนี้เขาจะไม่มีวันก้าวข้ามมันไป

เป็นคนต้องมีคุณธรรม มีอำนาจห้ามไร้น้ำใจ เรื่องชายหญิงแม้ใจเจ้าจะมีปรารถนา แต่หากยังมีความเป็นคนต้องไม่มีการบังคับฝืนใจกัน

เมื่อคุณธรรมในใจหมิงเค่อเป็นแบบนี้ในเรื่องชายหญิง เขาก็ได้แต่…

“แม่นางจื่อหรานท่านไปพักและทำหน้าที่ของท่านเถอะ ข้าอย่า… อยู่เงียบๆ คนเดียว” ในห้องที่ตอนแรกบรรยายกาศความรักอบอวล ในวันนั้นเวลาต่อมามีแต่ความแห้งแล้งเปล่าเปลี่ยว

และนับจากวันนั้นตัวหมิงเค่อและสวินจื่อหรานก็ปฏิบัติต่อกันคล้ายปกติ…

แต่มีเพียงทั้งสองที่รู้ว่า ทั้งสองราวมีม่านบางๆ กั้นกลางเอาไว้เป็นช่องว่างบางเบา แต่แสนใหญ่โตที่แต่ละคนไม่คิดก้าวข้าม

หมิงเค่อให้เกียรตินาง

นางให้ความนับถือหมิงเค่อ

นางกลายเป็นดาวดัง ณ ‘ภัตตาคารอาหารหวนคำนึง’ หมิงเค่อไม่เคยใช้ฐานะใดๆ กลั่นแกล้งนาง

เพียงแต่อาจจะเพราะความเจ็บปวดหัวใจเวลาเห็นนาง และพอดีที่พี่หญิงใหญ่อยากเกษียณตัวเองจากงานประจำตระกูล นางจึงมาดูแลภัตตาคารหลังจากผ่านเรื่องนั้นไปราวหนึ่งปี

และเพราะการที่พี่หญิงใหญ่หมิงฉินหยางกลายมาเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหารหวนคำนึง นั่นจึงทำให้นางได้เห็นสิ่งแปลกๆ ของน้องชาย

ชาที่ ‘สวินจื่อหราน’ ดื่มเป็นยาบำรุงอย่างดี นางเองก็กินเป็นประจำ รู้ดีว่าชาถ้วนหนึ่งเล็กๆ ที่ดื่มครั้งเดียวหมดได้ ราคาต่ำๆ ต่อแก้วชาเล็กมีราคาถึง 10,000 หยวน

นอกจากนั้นบางครั้งนางยังเห็นหมิงเค่อทำหน้าดุบีบบังคับสวินจื่อหรานดื่มยาบำรุง

ในฐานะพี่สาวคนโตนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหมิงเค่อรู้สึกอย่างไรกับสวินจื่อหราน

บางครั้งหมิงฉินหยางในฐานะพี่หญิงใหญ่ นางอยากถามสวินจื่อหรานเหลือเกินว่า นางมีสิทธิ์อะไรถึงให้น้องชายของนางต้องทำดีกับนางแบบนี้ ทั้งๆ ที่… เขาดีกับนางแบบนี้ แต่นางยังกล้า… กล้าไม่คิดตอบแทนอะไรบ้างเลย!!!

【กลับมาปัจจุบัน】

หมิงเค่อนั่งโต๊ะอาหารพิเศษ ตรงหน้าคือคุณหนูฉวนเค่อซี่ และเป็นอีกครั้งที่… หมิงเค่อพบสายตาเย็นชาไร้น้ำใจ บนใบหน้าแสร้งยิ้มแย้ม เขาจำต้องเล่นละครอีกครั้ง

แต่แบบนี้ก็ดี… หมิงเค่อแสร้งทำสนใจนาง เสียงเพลงจบลงไปนานแล้ว

หมิงเค่อสายตาว่องไว เขาพบว่ามุมไกลของหลังเวที สวินจื่อหรานแอบมองมาที่เขาเป็นระยะระยะ ทุกครั้งที่เขาแสร้งยิ้มเวลาที่คุณหนูฉวนเค่อซี่พูด สวินจื่อหรานคิ้วดูตกขมวดเข้าหากันอยู่บ้าง นี่กลับเป็นความสุขเล็กๆ ของหมิงเค่อ

ยิ่งนางคิดถึงเขา เป็นกังวลต่อเขา ตัวหมิงเค่อรู้สึกมีความสุขนัก

เรื่องชายหญิงแท้จริงแสนประหลาด เมื่อเราเห็นคนที่ชอบหึงหวงตัวเรา ทำไมสุขใจนัก

ส่วนเรื่องแต่งงานจริงๆ … เลิกคิดไปแล้ว

ไม่นานนัก หมิงเค่อส่งคุณหนูฉวนเค่อซี่กลับไป ภัตตาคารกำลังจะปิด

“เจ้าลูกหมาน้อย คุณหนูตระกูลฉวนเป็นอย่างไรถูกใจเจ้าไหม”

“ก็ดี”

“ก็ดีของเจ้าหมายความว่าอะไร แต่งงานกับนาง ให้พี่หญิงไปขอนางกับท่านบัณฑิตอาวุโสไหม”

“ค่อยเป็นค่อยไป”

“บ้าเอ๊ยไอ้ตัวแสบ ค่อยเป็นค่อยไป เจ้าจะค่อยเป็นค่อยไปไปถึงไหน พี่หญิงใหญ่อายุ 64 ปี ลูกข้า 3 คน มีหลานแล้วทุกคน เดินให้วุ่นวายเต็มบ้าน แต่เจ้า เจ้าที่เป็นลุงน้อยของพวกเขา แม้แต่เป็นท่านตาของหลานข้า แต่… แม้แต่เมียสักคนก็ยังไม่มี” บางคำของพี่หญิงใหญ่หยาบคาย แต่ก็เป็นธรรมดา อยู่กันพี่น้อง ทั้งสองเติบโตจากชนชั้นต่ำ จะให้นางพูดเพาะโวหารดีเป็นไปไม่ได้

หมิงเค่อหัวเราะ ได้แต่จับมือพี่หญิงอย่างอ่อนโยนปลอบนางว่าเขาจะไม่ทำให้ลำบากใจ พี่หญิงบ่นตัวเองถูกน้องชายหลอกจนชิน