Skip to main content

เมื่อออกจากคฤหาสน์ของตระกูลมี่ หมิงเค่อยืนหน้าประตูนาน ใจรำลึกความหลัง

สายตาของมี่ฮุนหรันหมิงเค่อเดาความรู้สึกของนางได้เพียงแต่… แม้หมิงเค่อก็รับรู้ความในใจของนาง แต่เส้นทางสายนี้ลำบากเกินไป อันตรายมากเกินไป

หมิงเค่อรู้ว่าพี่สาวมี่ฮุนหรันต้องการให้เขา ‘หยุด’ นาง

แต่ ณ ศาลากลางน้ำ ประสาทสัมผัสของหมิงเค่อค่อนข้างเหนือระดับของตัวเองไปมาก

หมิงเค่อสัมผัสได้ว่ามีคนแอบจ้องมองตน มองผ่านร่างนางไปไกล ขอบหน้าต่างริมระเบียง บิดาของมี่ฮุนหรัน จอมคาถาขอบเขตที่สองผู้มีชื่อ หมิงเค่อสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของชายผู้นั้นกำลังมองตนได้

เพราะแบบนี้เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ

หนุ่มยากจนไม่มีเส้นสายจะเด็ดดอกฟ้าได้อย่างไร แม้นางจะโน้มกิ่งลงมาก หากแต่เพียงเขาสัมผัสดอกไม้นั้น หากเพียงแค่มือขาดก็นับว่าโทษสถานเบาแล้ว

หลายปีมานี้หมิงเค่อแม้แสดงตัวว่าอ่อนต่อโลก แต่ความจริง เขาก็รวบรวมข่าวสารและพยายามสร้างเส้นสายต่างๆ ไม่น้อย

เขารู้ว่าน่านน้ำของเจ็ดแคว้นลึกมาก

โจวเฉินเถิงพี่ชายร่วมสาบานก็ไม่ธรรมดา เขาดูซื่อและไม่มีอะไร แต่เมื่อถึงจุดอำมหิตและต้องการผลประโชยน์ หมิงเค่อรับรู้ว่าพี่ชายร่วมสาบานคนนี้โหดไม่เบา ศึกแย่งชิงบัลลังก์ข่าวทั้งลับๆ และเปิดเผยต่างออกมาไม่เว้นวัน คนที่ร้ายที่สุดจริงๆ ยังไม่รู้ว่าใคร

เพียงแต่เพื่อพี่ชายคนนี้ หมิงเค่อมีโอกาสหนึ่งครั้งที่ต้องร่วมงานแสนลำบากใจ เขาเป็นผู้เปิดทางให้คนต่างแคว้นเข้ามาสังหารตระกูลขุนนางหนึ่งตระกูล ภาพฉากที่คนมากมายตายต่อหน้า ทั้งเด็กเล็กชายหญิงยังตรึงใจหมิงเค่ออยู่ เขาอาจจะไม่ได้ลงมือ แต่ก็รับรู้ว่าพี่ชายคนนี้หวังบัลลังก์และพร้อมลงมือเพื่อเส้นทางอำนาจ เขาพร้อมอำมหิตกับฝ่ายตรงข้าม ฆ่าไม่สนว่าเป็นใคร

คนที่กล้าลงมือแบบนี้ และตื่นเช้ามาทำหน้าซื่อไม่รู้ความได้ ลึกๆ จิตใจเป็นเช่นไรคงยากที่จะพูด

หมิงเค่อพยายามลอยตามน้ำ ไม่ขว้างคลื่นลม หวังว่าเส้นทางยุทธ์ตัวเองจะไปถึงจุดที่ไม่ต้องก้มหัวให้ใคร

เมื่อไร้พลัง เขารู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ครอบครองสิ่งวิเศษล้ำค่า

หมิงเค่อหัวเราะก้าวเดินจากไปจากคฤหาสน์ของตระกูลมี่

เส้นทางยุทธ์งดงาม

หมิงเค่อในวัย 27 ปี นับเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของคนหนุ่ม แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ชายแดนถูกตีแตก ข้าศึกกรีฑาทัพเข้ายึดเมือง ข่าวความโหดร้ายของอาณาจักรข้างเคียงบ้าคลั่งมาก ว่ากันว่าเพราะการหมิ่นเกียรติขององค์รัชทายาทแคว้นวาสนาม่วง

กษัตริย์แคว้นปราการทองประกาศศึก จะใช้โลหิตผู้คนหนึ่งล้านจากสามเมือง ชำระแค้นที่องค์หญิงของตนตรอมใจตาย ณ วังหลวงอันหนาวเหน็บไร้น้ำใจของแคว้นวาสนาม่วง

และ ณ วันนั้นตำนานบทหนึ่งถือกำเนิด

แม่ทัพน้อยที่คุมทหารเพียงห้าพันเศษ ‘แผดเผาโลหิต’ ใช้ชีวิตของตนและทหารห้าพันต้านทัพครึ่งแสน

เพราะด้านหลังมีบ้านเรือน

มีเด็กน้อยร้องอ๋อแอ้ สตรีมีบุตรหลั่งน้ำตา คนชราชายหญิงไร้แรง

อาจจะเพราะหมิงเค่อครั้งหนึ่งคือทหารคนแห่งแผ่นดินใหญ่ ชีวิตของตัวเขาหล่อเลี้ยงจากน้ำใจของผู้คน เติบโตบนทัศนะคติเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าความเห็นแก่ตัว

เราสร้างแผ่นดินใหญ่โตเพื่ออะไร

เราปกป้องดินแดนนี้ไว้ทำไม หากไม่ใช่เพื่อลูกหลานและผู้สืบสายเลือดที่อยู่ด้านหลัง

หมิงเค่อควรหนี

แต่เขากลับเลือกที่จะสู้ แม้เมืองนี้จะไม่ใหญ่โต แต่ก็มีประชากรสามแสนที่หนีภัยสงครามไม่ได้

เขาควรเดินบนเส้นทางของเซียนอมตะที่เห็นแก่ตัว

แต่หมิ่นเค่อกลับเลือกลงไปสู้ที่แม้ตัวตายแต่ไม่ยอมแพ้

ราวกับว่าเส้นทางแห่งผู้เสียสละนี้เขาจะไม่มีวันเสียใจ

ณ ศึกวันนั้น ทหารห้าพัน เหลือไม่ถึงสามร้อย ศัตรูครึ่งแสนเหลือกลับไปหมื่นเศษ

นี่คือชีวิตเพื่อมาตุภูมิอย่างแท้จริง

.

.

.

หนึ่งเดือนต่อมาหลังจบศึก

เสียงรถเครื่องดังรถสั่น หมิงเค่อในชุดโบราณเสื้อคลุมดำ ผมขาวโพลน ใบหน้าที่เคยดูหนุ่มหล่อเหมือนเด็กหนุ่มอายุ 16 17 ปี ไม่มีอีกต่อไป

ตอนนี้เขาดูราวคนอายุ 30 40 ปีที่ผิวแห้งมาก ผมขาวถึงโคลนราก ร่างผอมราวกับไม่มีเลือดเนื้อ

วันนี้เขาไร้คำพูด… ตัวหมิงเค่อเขาเมืองหลวงเพื่อรับบรรดาศักดิ์ ‘ขุน’ [男 – หนาน] ต่อจากนี้สามารถเป็นเจ้าของดินแดนมีแผ่นดินของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องจ่ายส่วยภาษีเข้าส่วนกลาง

นี่คือสิ่งปลอบใจจากราชสำนักแคว้นวาสนาม่วงและความเสียสละของตัวเขาจากศึกที่ถูกเรียกว่า ‘ศึกด่านคลั่ง’ ในภายหลัง

“อาเค่อ” เสียงสตรีดังผ่านกระจกรถ

มี่ฮุนหรันยื่นอยู่ตรงนั้น หน้าจวนสำหนักขุนนาง นางยกมือน้ำตาไหลโบกไปมาช้า

ด้านข้างนาง ‘โจวเฉินเถิง’ พี่ใหญ่ร่วมสาบานของหมิงเค่อ ใช้มือประคองไหล่มี่ฮุนหรัน ปากพูดน้ำเสียงเบาปลอบมี่ฮุนหรันว่าอย่าเสียใจ น้องชายของเรากล้าหาญ ให้เขาได้พักเถอะ

หมิงเค่อยิ้มให้มี่ฮุนหรัน ก่อนดวงตาจ้องมองโจวเฉินเถิง ในใจรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง ไฟแห่งความโกรธลุกโชนแต่ต้องซ่อนเก็บไว้

แต่บางสิ่งต่อให้รู้ก็พูดไม่ได้ แม้มั่นใจก็ไม่สามารถสืบ

กษัตริย์อยากให้ตายขุนนางกล้ามีชีวิตหรือ

หมิงเค่ออยู่ภายใต้อำนาจ ‘โจวเฉินเถิง’ ในฐานะพี่น้องร่วมสาบานเขาปูเส้นทางให้หมิงเค่อ ขุนศึกประจำเมืองก็เป็นตำแหน่งที่โจวเฉินเถิงขอให้หมิงเค่อ

ก่อนศึกด่านคลั่งจะเริ่ม หมิงเค่อรู้ว่าต้องรับมือเหตุร้านล่วงหน้าครึ่งชั่วยาม เขาจึงร้องขอกำลังเสริม เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดเดินทางด้วยรถยนตร์ สามารถเคลื่อนกำลังมาช่วยได้ภายในเวลา 2 ชั่วยาม แม้ไม่สามารถนำคนนับหมื่นมาได้ แต่กำลังหลายพันและอาวุธจากสองจากเมืองที่อยู่ทิศเหนือและใต้ของเมืองที่หมิงเค่อปกครอง น่าจะนำมาเสริมได้ไม่มีปัญหา

แต่…

หมิงเค่อต่อสู้ต้านอยู่ครึ่งวันก่อนศึกจบ

ในศึกนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ฝ่ายศัตรูมี ‘ปืน’

ในโลกใบนี้ผู้ประดิษปืนไฟที่ยิงต่อเนื่องและมีกำลังสูงได้มีเพียงแค่ตัวหมิงเค่อและ ‘หอการค้าสามสหาย’ ฝ่ายศัตรูมีมันได้อย่างไร

มี่ฮุนหรันซื่อตรง นางดูแลบัญชีอย่างตรงไปตรงมา ปืนที่นางจำหน่าย นางขายให้แต่ทางการ และตระกูลที่ไว้ใจจริงๆ ทุกรายการมีการลงบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดอย่างละเอียด

นอกจากนั้นการค้าส่วนใหญ่ หากไม่ใช้กองทัพของอาณาจักร จำนวนปืนที่ขายออกไปไม่เกินร้อยกระบอกต่อกลุ่มขุมกำลังหรือตระกูล

หากมีใครที่ไม่ใช่กองทัพสามารถซื้อปืนไฟจาก ‘หอการค้าสามสหาย’ ได้จำนวนมากทีละหลายพันกระบอก

คนทำเรื่องลับๆ ใน ‘หอการค้าสามสหาย’ ได้ เช่นนั้นก็มีเพียงสามคน หนึ่งตัวหมิงเค่อ สองมี่ฮุนหรัน สุดท้ายโจวเฉินเถิง

ทุกอย่างชัดเจน

แต่… หมิงเค่อก็พูดอะไรไม่ได้ เส้นทางแห่งนักยุทธ์เขาถูกตัดขาดไปแล้ว การสืบเรื่องนี้ยิ่งมีแต่ทำให้เขาและครอบครัวตายเร็วยิ่งขึ้น

“พี่น้อง…” หมิงเค่อพูดมันเบาๆ ขณะรถเคลื่อนตัวออกไป

หมิงเค่อมองผ่านกระจกมองหลัง

เสียใจที่วันนั้นเขาไม่ได้ ‘หยุด’ มี่ฮุนหรัน

ครึ่งปีก่อนนางได้ตกเป็นของ… โจวเฉินเถิงไปแล้ว

ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน

“เจ้ามาเสียทีลูกหมาน้อย” คำเรียก ‘ลูกหมาน้อย’ ในชีวิตของหมิงเค่อมีเพียงมารดาและพี่สาวทั้งสามของเขาเท่านั้นที่เรียกแบบนี้

ใช่แล้วเสียงนี้มาจากสตรีที่แสนคุ้นเคย

หน้า ‘ภัคตาคารอาหารหวนคำนึง’ พี่สาวของหมิงเค่อเดินมา ระหว่างเดินมีคนประคองมือนางก้าวเดิน

【หมิงฉินหยาง】 สตรีใบหน้าใจดี ผิวของนางคล้ำไปสักนิดไม่เหมือนผิวของสตรีร่ำรวย อาจจะเป็นเพราะแม้นางจะได้ใช้ชีวิตมั่งมีแล้วแต่นางก็ยังชอบทำงาน ครึ่งชีวิตขยัน สุดท้ายก็ขยันเป็นนิสัยไปแล้ว ตอนนี้แม้นางจะอายุ 64 ปีแล้ว แต่นางก็ยังชอบทำงาน

งานหลักของตระกูล หมิงฉินหยางมอบให้บุตรตัวเองดูแลไปแล้ว แต่ ‘ภัคตาคารอาหารหวนคำนึง’ นางกลับชอบ เพราะที่นี่พิเศษ หมิงเค่อสร้างมันเพื่อรำลึกชีวิตในชาติภพก่อนของตัวเอง ภายในมีอาหารเลิศรสที่หาไม่ได้จากที่ใดๆ

นอกจากนั้นอาจจะเป็น ‘ภัคตาคารอาหารหวนคำนึง’ ที่แรกของโลกใบนี้ที่มีการนำนักร้องมาร้องเพลงในช่วงค่ำ ทำให้ที่นี่เป็นที่นิยมของผู้มากมาย

ไม่ใช่ว่าในโลกใบนี้ไม่มีการร้องเพลง

เพียงแต่การเล่นดนตรีขับร้องในโลกใบนี้ถูกมองในสองแง่ ซึ่งค่อนข้างเป็นด้านลบ มันเป็นอาชีพของหญิงงามเมือง การเต้นเป็นสิ่งน่าละอาย

เพียงแต่ในชนชั้นสูงก็มีความรื่นเริงประเภท แต่ก็ไม่นิยมให้สตรีในตระกูลฝึกฝน ยกเว้นพวกเขาจะส่งพวกนางเข้าวังหลวงจึงจะฝึกอักษร กวี ภาพวาดและดนตรีมากเป็นพิเศษ

การมีสตรีร้องเพลง ณ ภัคตาคารจึงเป็นสิ่งแปลกใหม่

หมิงฉินหยางเดินมาถึงตัวหมิงเค่อพร้อมกับรีบจับและตบหลังมือเบาๆ