บึน บึน! เสียงรถทรงวินเทจจอดเทียบ
บริกรในชุดสุภาพรีบวิ่งมาเปิดประตูรถสีดำอย่างรีบร้อน
【หมิงเค่อ】ก้าวลงจากรถ สายตาเขาทอดยาวออกไปมองบ้านเมืองที่ให้บรรยากาศคล้ายแผ่นดินเกิดในชาติก่อนของตัวเองช่วงยุค 90 ที่มอบความรู้สึกมีเสน่ห์อย่างประหลาดและดูเก่าแก่ในเวลาเดียวกัน
ตึกสามสี่ชั้นเรียงต่อกันทอดยาว โคมไฟเปล่งแสงสีอำพันอ่อนทอดลงพื้นถนน ตึกรามีป้ายไฟหลากสีสะท้อนความเจริญของย่านนี้ ผู้คนในชุดหลากหลายเดินสวนกันไปมา
จุดสังเกตบางอย่างที่ทำให้มั่นใจว่านี่คือโลกที่หมิงเค่อไม่เคยอยู่แน่นอน โลกใบนี้มีผู้คนที่ทั้งแต่งตัวร่วมสมัย สวมเสื้อผ้าที่ดูคล้ายสูทและเสื้อโค้ท นอกจากนั้นยังมีคนที่แต่งตัวโบราณราวกับหลุดจากภาพยนต์เทพเซียนเป็นจำนวนมาก คนที่แต่งตัวโบราณ สังเกตดีๆ สักนิด คนทั่วไปที่แต่งตัวร่วมสมัยเมื่อเดินเฉียดใกล้มักจะระมัดระวังคนกลุ่มนี้ ราวกับมีช่องว่างความต่างของชนชั้นขนาดใหญ่ แยกคนสองประเภทออกจากกัน
ถนนมีรถวิ่งประปราย เพราะรถคือของหรูหรา น้อยคนที่จะมีโอกาสได้นั่งหรือขับมัน
คนส่วนใหญ่เดินเท้า หรืออาศัยนั่งรถรางสาธารณะ หากจุดที่รถรางไปไม่สะดวก ก็จะต่อด้วยรถสองล้อที่ใช้แรงคนลาก
เสียงดนตรีดังจากภัคตาคารหรู ไม่นานเสียงหวานๆ ขับกล่อมเพลงสไตล์อาร์แอนด์บีนุ่มๆ ที่ไม่ค่อยเข้ากับยุคสมัยและความข้านิยมดนตรีของโลกใบ…
หมิงเค่อที่ตอนนี้สวมชุดโบราณหลวมๆ เชิดหน้าขึ้นพลางหลับตา ถอนหายใจดัง พร้อมในใจนึก…
‘ข้าอยู่ในโลกใบนี้มา 39 ปี แล้วสินะ อีกแค่ปีเดียวก็อยู่ครบ 40 ปี’ คิดเช่นนี้จบ ในหัวหมิงเค่อปรากฏภาพเรื่องราวไหลบ่าไม่หยุด
…
ในตอนนั้นเมื่อเขาได้สติและรู้ตัวว่าตัวเองคือชายผู้ข้ามมิติตั้งแต่แรกเกิด รอบตัวเขาคือชายหญิงใบหน้าชราและตราตรำยิ้มร่ามองเขาอย่างมีความสุข
หมิงเค่อเกิดในชนบทห่างไกลความเจริญของโลกใบนี้
บิดาและมารดาของตัวเขายากจน มารดาของหมิงเค่อตั้งท้องและคลอดตัวเขา เมื่อตัวมารดาอายุ 41 ปี บิดามีอายุ 50 เศษ เขาอาจจะนับเป็นลูกหลงของครอบครัวนี้ก็ได้
เมื่อหมิงเค่อเกิด หลานชายของตัวเขาคนหนึ่งนั้นมีอายุเกือบ 10 ขวบแล้ว
หมิงเค่อเกิดในครอบครัวชาวนา บิดามารดามีบุตรทั้งหมด 5 คน เป็นชายสอง หญิงสาม เพียงแต่ช่างน่าเสียดายพี่ชายคนโตของหมิงเค่อนั้นต่างเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนที่ตัวเขาจะเกิด
โลกใบนี้โหดร้าย มีผีสาง อสูรร้ายและความประหลาด นอกจากนั้นสงครามชิงแผ่นดินแทบจะเกิดขึ้นปีเว้นปี
พี่ชายสองคนของหมิงเค่อถูกเรียกเกณฑ์ทหารและทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านตลอดการ ตระกูลหมิงเกือบสิ้นการสืบสายเลือด ดังนั้นเมื่อหมิงเค่อเกิดบิดามารดาแม้ตระกูลจะแสนยากไร้ก็ดีใจอย่างมาก
เพียงแต่เรื่องน่าเศร้าก็ปรากฏอีก เมื่อหมิงเค่ออายุ 2 ขวบ สงครามตีเมืองปะทุอีกครั้ง โลกนี้มีธรรมเนียบที่ค่อนข้างโบราณ หนึ่งรอบครัวอย่างน้อยต้องส่งชายหนึ่งคนเกณฑ์ทหาร ไม่เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าภาษีสงครามเป็นเงินจำนวนมากแทน
ตระกูลหมิงไม่มีทางเลือก บิดาของหมิงเค่อแม้อายุ 50 ปีเศษ และเขาเคยเข้าสงครามมาแล้วถึง 3ครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งที่สูงอายุ เขากลับจำต้องถูกเกณฑ์ทหาร และการเกณฑ์ทหารครั้งนี้บิดาของหมิงเค่อก็ไม่กลับมาอีกเลย
นี่ช่าง… เป็นการเกิดใหม่ที่ไม่ง่าย
ในตอนที่อายุ 2 ขวบหมิงเค่อก็รู้ตัวแล้วว่าเขาจะใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้
โชคดีที่ช่วงเยาว์วัย ด้วยการอุปถัมภ์ของพี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองที่ต่างแต่งงานออกไปแล้ว พวกนางส่งเงินกลับมาจุนเจือมารดาของหมิงเค่อที่แสนยากไร้ นั่นทำให้สถานการณ์ช่วงเยาว์วัยของหมิงเค่อไม่แย่จนเกินไป
และเพราะรู้ว่าสถานะครอบครัวไม่ดี แม้จะดูประหลาด แต่หมิงเค่อก็ไม่กล้าเก็บประกายของตัวเอง ที่ชอบทำตัวเป็นพระเอกเงียบๆ รอวันผงาดทีเดียวทำโลกตะลึง
เมื่อตอนเกิดใหม่แรกๆ หมิงเค่อเหมือนกับคนข้ามโลกคนอื่นๆ เขาคิดว่าตัวเองคือพระเอกของโลกใหม่
หมิงเค่อเฝ้ารอสมบัติลี้ลับหรือระบบอะไรสักอย่าง เขามั่นใจว่าตัวเองต้องได้รับอะไรสักอย่าง
แต่การเกิดใหม่ของเขาไม่มีอะไรพิเศษแบบนั้น
เมื่ออายุ 2 ขวบครึ่งหมิงเค่อทำใจได้และเขาไม่รออีกต่อไป
เขาขอมารดาเรียนหนังสือ ด้วยการที่หมิงเค่อพูดได้เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ นอกจากนั้นยังรู้ความมาก มารดาของหมิงเค่อและบรรดาพี่สาวต่างเชื่อว่าหมิงเค่อคือเด็กพิเศษ หรือที่เรียกว่าอัจฉริยะ ยิ่งพวกนางเห็นว่าหมิงเค่อสนใจศึกษาหาความรู้ ครอบครัวตระกูลหมิงดีใจมาก แม้ทุกคนจะไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่ก็เลือกช่วยส่งหมิงเค่อไปเข้าเรียนกับบัฒฑิตมากความรู้ของหมู่บ้าน
และการได้เข้าเรียนทำให้หมิงเค่อได้เปิดโลก
นี่คือโลกที่เหล่าชายหนุ่มใฝ่ฝันจริงๆ มันมีทั้งการบ่มเพาะ ปีศาจ อสูรและตำนานเทพเซียน ในนักยุทธ์และจอมคาถาระดับสูงนอกจากมีอายุหลายร้อยปี ยังเดินเหินบนอากาศได้
หมิงเค่อที่ได้ยินสิ่งนี้ครั้งแรกดวงตาของเขาอดไม่ได้ที่จะส่องประกาย
เขาแทบจะตัดสินใจได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยิน เขาจะต้องเปล่งประกายในโลกใบนี้ให้ได้
เพียงแต่คำพูดของอาจารย์บัณฑิตเฒ่าก็ทำให้หมิงเค่อรู้ว่าเส้นทางแห่งเทพเซียนสู่การเหินฟ้าทะยานสู่สวรรค์ในโลกนี้นั้นไม่ง่าย
“เจ้าตัวน้อยทั้งหลาย พวกเจ้ารู้ไหม เหตุใดแม้โลกใบนี้จะมีเทพยุทธ์และวิถีเซียนแห่งจอมคาถา แต่ผู้จะเดินบนเส้นทางนี้ได้กลับน้อยนิด วิถีแห่งเทพยุทธ์บ่มเพาะกายอาศัยเลือดลม ผู้เข้าสู่ระดับแรกอย่างน้อยๆ ต้องกินเนื้อหนึ่งชั่งทุกวัน แต่นั้นคือจำนวนอย่างน้อยๆ หากต้องการมีความก้าวหน้า เลือดเนื้อสัตว์ร้ายและอสูรบางชนิด พวกเขาจำต้องกินถึง 10 ชั่ง 15 ชั่งต่อวัน”
“เนื้อธรรมดา 1 ชั่งราคา 50 หยวน, เนื้ออสูรหรือเนื้อสัตว์ที่บำรุงเลือดลมระดับต่ำ 1 ชั่ง ที่ถูกที่สุดก็มีราคาถึง 800 ถึง 1000 หยวน, ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้คนธรรมนับร้อยนับพันไม่มีโอกาสเข้าสู่เส้นทางแห่งนักยุทธ์ได้ ว่ากันว่าในคนธรรมดาร้อยคน จะมีนักยุทธ์เพียงหนึ่งคนถือกำเนิด”
“เพียงแต่แม้พวกเจ้าจะคิดว่าเส้นทางแห่งนักยุทธ์ยากลำบากแล้ว แต่วิถีแห่งจอมคาถาซึ่งถูกเรียกว่าเส้นทางแห่งเซียนแท้นั้นกลับยิ่งลึกลับและยากลำบากมากยิ่งกว่า”
“นักยุทธ์ฝึกเลือดลม ใช้เนื้อสัตว์และแก่นอสูรบ่มเพาะ แม้ว่าจะหาไม่ง่าย แต่ทั่วแผ่นดินนี้ก็หาได้ไม่ยาก หากล้าเสี่ยงก็เข้าไปไปล่าเอาในป่าเขา”
“แต่เส้นทางแห่งจอมคาถา พวกเขาฝึกฝนด้วยปราณฟ้าดิน หินพลังงานวิญญาณ และแก่นอสูรระดับสูง, หินพลังงานวิญญาณที่คุณภาพต่ำสุดและถูกสุดมีราคาก้อนละ 50,000 หยวน, หากอยากฝึกฝนรวดเร็ว การใช้วันละสี่ห้าก้อนเป็นเรื่องปกติ”
“แต่พวกเจ้าอย่าคิดว่าค่าใช้จ่ายนี้คือขวากหนามสำคัญที่สุดของการบำเพ็ญในวิถีแห่งจอมคาถานะ เพราะสิ่งที่ทำให้วิถีนี้มีผู้บ่มเพาะน้อยแสนน้อยกลับเป็น… 【กายวิญญาณ】 แม้ทุกคนในโลกจะสามารถเป็นจอมคาถาได้ แต่ปัญหาใหญ่สุดกับเป็นกายวิญญาณ”
“กายวิญญาณมนุษย์ทั่วไปที่ไม่มีสายเลือดหรือวาสนาพิเศษ หินพลังงานหนึ่งก้อนว่ากันว่ากว่าคนธรรมดากว่าจะดูดซับได้หมดใช้เวลา 10 วัน 100 วัน ด้วยการที่ดูดซับช้าเช่นนี้ ต่อให้มีอายุร้อยปีก็ทำให้คนธรรมดาไม่อาจจะกลายเป็นจอมคาถาได้ ดั้งนั้นอัตราส่วนที่จะพบเหล่าจอมคาถาหนึ่งคนในโลกใบนี้คืออัตราส่วน 1 ใน 10,000”
หลังจากได้ฟังอาจารย์บัณทิตเฒ่าพูดจบหมิงเค่อปรารถนาจะเดินบนวิถีแห่งจอมคาถา เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งนี่ดูคล้ายวิถีแห่งเทพเซียนในโลกที่เขารู้จัก หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป… เขาก็พบว่าเขาไม่ใช่พระเอกของโลกใบนี้ เขาคือหนึ่งในผู้ไร้พรสวรรค์ มีเพียงกายวิญญาณที่ธรรมดา