ในช่วงต้นหลี่เค่อไม่รู้ว่ากระถางกำยานนี้ทำสิ่งใดได้บ้าง
เขาเอาแต่จ้องมองมัน และหลี่เค่อก็ต้องประหลาดใจ เขาพบว่าความทรงจำของเขาดีขึ้นมาก ไม่ว่าเขาจะอ่านอะไร เขาก็จะจำมันได้ในครั้งเดียว และจำมันได้อย่างไม่มีวันลืม
ต่อมาหลี่เค่อพยายามศึกษามันอยู่เรื่อยๆ เขาทำได้เพียงแค่จ้องมองมัน แต่น่าประหลาด ยิ่งเขาจ้องมองมันมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกเหนื่อยอ่อน นี่ยังไม่นับรวมความทรมานเจียนตาย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาบังเอิญหยดเลือดสัมผัสมัน
แต่แม้เขาจะทรมาน แต่หลี่เค่อไม่เคยหยุดใช้มัน หลี่เค่อได้รับบางอย่างตอบแทนกลับมาทีละน้อย ทีละน้อยจากกระถางกำยานประหลาดนี้เสมอ
เขาเริ่มอ่านอักษรประหลาดที่กระถางกำยานนั้นออก แม้จะไม่ทั้งหมด
และหลี่เค่อรับรู้ว่าจริงๆ แล้วกระถางกำยานนี้มีไว้เพื่อการฝึกฝนพลังจิต
อาจจะเพราะไร้กังวล และแทบไม่มีสิ่งใดต้องกลัวที่จะสูญเสีย หลี่เค่อไม่รีรอที่จะฝึกมัน หลี่เค่อรู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ เพียงเขาฝึกไม่นาน เขาก็เริ่มสามารถควบคุมวัตถุได้
นอกจากนั้นหลี่เค่อยังพบอีกว่า ยิ่งเขาฝึกพลังจิตมากเท่าไหร่ ความทรงจำและสติปัญญาของเขาก็ดีขึ้นมากเท่านั้น เขาสามารถเข้าใจเรื่องยากๆ ได้อย่างง่ายดาย
และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางนักฆ่าของหลี่เค่อ
เขาผสมผสานพลังจิตและความรู้ ฆ่าทุกคนที่เป็นศัตรูของเขา
จนรู้ตัวอีกทีเขาก็ได้รับสมญานามมากมาย
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ร่างกายเขาอ่อนแอ และเขารับรู้ว่าตัวเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
แต่ว่า… ปู่ชราต้องการให้เขามีชีวิตอยู่
และเขาต้องใช้มันอย่างดีเพื่อคนที่จากไป
ในค่ำคืนหลี่เค่อนั่งมองกระถางกำยานที่มอบพลังและโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับตัวเขา และเขาพบว่าจริงๆ แล้วตัวเขาไม่เคยรู้จักมันเลย
หากเขาหาที่มาของมัน มันอาจจะเป็น… คำตอบที่ทำให้ตัวหลี่เค่อมีชีวิตอยู่ต่อไป และใช้มันอย่างมีความสุขแทนเหล่าผู้คนที่จากเขาไปก็ได้
…
สี่ปีต่อมา หลี่เค่ออายุ 28 ปี
“!นายยยยยยยยยยน้อย” จั่วยุ่นแผดเสียงดัง เขาพุ่งร่างเข้าหาหลี่เค่อ ในสุสานโบราณ อยู่ๆ แผ่นดินก็เกิดไหว สุสานคล้ายจะพังทลาย จั่วยุ่นไม่กังวลว่าร่างกายตัวเองจะได้รับอันตราย เขายังเป็นเช่นเดิม ยังห่วงใยหลี่เค่อมากกว่าชีวิตตัวเอง
“เห่อ… เห่ออออ” เสียงหอบหายใจของหลี่เค่อดังแรง เขาในอายุ 28 ปี แต่ร่างกายของเขาภายนอกดูไม่ต่างจากคนอายุ 50 60 ปี เส้นผมขาวโพลน มีริ้วรอยความเหี่ยวเฉาแห่งวัยที่เห็นได้ชัดแต่นั่นก็แค่ภายนอก ภายในร่างกายของหลี่เค่อนั้นเหล่านายแพทย์จากโรงพยาบาลระดับหนึ่งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภายในร่างกายของหลี่เค่อไม่ต่างจากคนชราอายุ 80 90 ปี
สิ่งเดียวที่ยังคงสะท้อนอายุวัยที่แท้จริงของหลี่เค่อก็คงมีเพียงแววตากระจ่างใส ที่แฝงความเด็ดเดี่ยว เยือกเย็นและความอหังการของชายที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ซึ่งผ่านประสบการณ์เหลือเชื่อมากกว่าที่ใครหลายคนจะได้พบเจอในหนึ่งชีวิต
“ไม่เป็นไรน้าจั่ว ผมสบายดี จริงๆ น้าจั่วควรจะไปดูลูกจี๋มากกว่า”
เมื่อจั่วยุ่นยันกายลุกขึ้น
ใต้ดินที่มืดมิดมีคนจุดแสงไฟจากไฟฉายเขาหน้าตัวเอง เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อายุราว 14 15 ปี เขาคือ ‘จั่วจี๋’ ลูกชายคนเดียวของจั่วยุ่น
“พ่อบุญธรรมผมไม่เป็นอะไรเห่อเห่อ แต่ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ จะมีแผ่นดินไหวแบบนี้ เวรละแย่แล้ว สัญญาณโทรศัพท์ทั้งหมดหายไป ผมใช้มือถือไม่ได้” จั่วจี๋เด็กชายพูดน้ำเสียงร้อนรน
หลี่เค่อสีหน้าเฉยชาไม่ได้ยินดียินร้าย เขาไม่กังวลกับความตายแม้สักนิด
ส่วนจั่วยุ่นก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนพูดคำพูดไม่น่าฟัง “ไอ้เด็กเวร บิดาก็บอกเอ็งแล้วว่าไม่ต้องมา ไม่ต้องมา แต่เอ็งก็ยังมา เอ็งทำให้นายน้อยเดือดร้อนและลำบากใจรู้ไหม หากเกิดอยู่ที่นี่และติดอยู่ใต้ดินตายห่ากันหมดจะทำไง อยู่ดีไม่ว่าดี หากตอนนี้เอ็งไม่มา และพ่อกับนายน้อยตายไป เอ็งควรจะดีใจด้วยซ้ำ ตอนนี้ ‘จั่วซีอานกรุป’ มีมูลค่ากี่ล้านล้านหยวนแล้ว ไอ้เด็กเวร อย่างน้อยๆ ก็ควรคิดถึงหน้าแม่ที่ตายก่อนจะมานี่”
“เห่อๆๆ ที่พ่อพูดนี่ พ่อไม่เกรงใจพ่อบุญธรรมเลยนะ ”
จั่วยุ่นพ่นเสียง ที่เขากล้าพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ หลังหลี่เค่อตาย ก็เพราะเขารู้จักนิสัยหลี่เค่อดี
หลี่เค่อแทบจะไม่สนใจเงินทอง
ถ้าหากเขาสนใจ เขาคงไม่ยกมรดกทั้งหมดของตัวเองเป็นชื่อจั่วจี๋และรับเป็นลูกบุญธรรม
หลี่เค่อหัวเราะเบาๆ “ลูกจี๋ อย่าพูดให้พ่อของเจ้าโกรธ น้าจั่วพูดแบบนั้นไม่ใช่เพราะโลภในเงินทอง แต่เพราะเป็นห่วงตัวเจ้าต่างหาก ส่วนตัวพ่อบุญธรรมเองนั้นเรื่องเงินทองนั้นไม่ได้สำคัญอีกต่อไป หากวันนี้สำรวจแล้วไม่ได้อะไร อีกไม่เกินหนึ่งปี เจ้าก็คงไม่เห็นหน้าพ่อบุญธรรมแล้ว”
“พ่อบุญธรรม” จั่วจี๋น้ำเสียงอ่อน สำหรับจั่วจี๋ เขารักหลี่เค่อมากกว่าพ่อของตัวเองด้วยซ้ำ เขาพยายามค้นกระเป๋าซึ่งมีอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย แต่อุปกรณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาเพื่อใช้ติดต่อภายนอกได้เช่นกัน
หลี่เค่อถือไฟฉาย เมื่อแผ่นดินถล่ม หลี่เค่อพบว่ามีถ้ำที่ตัวเองยังไม่ได้สำรวจปรากฏ
ด้วยพลังจิตที่มากกว่าคนอื่นแม้แสงจะน้อยมาก แต่หลี่เค่อก็มองเห็นบางสิ่งที่ประหลาดได้แต่ไกล
ประตูบานใหญ่ที่ดูโบราณ นั่นมันอะไร?
หลี่เค่อรีบบอกให้จั่วยุ่นประคองร่างเขาเดินไปที่ทิศทางนั้น
ยิ่งเดินไปใกล้เท่าไหร่ทุกคนก็ยิ่งตกตะลึง
เพราะเมื่อเดินผ่านผนังหิน มันกลับกลายเป็นห้องโถงกว้างที่ดูโบราณ
และทันทีที่หลี่เค่อก้าวเท้าเข้าไป ห้องโถงกว้างนี้ก็ส่องสว่าง
ทำให้หลี่เค่อมองเห็นประติมากรรมโบราณเหล่านี้ชัด เสาต่างๆ รอบบริเวณราวกับทำจากทองคำผสมกับเหล็กแดง ผนังฝ้าต่างๆ ราวกับใช้หยกเขียวก่อสร้าง
มันดูราวกับว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์ธรรมดาสร้างขึ้น เพราะหากจะเป็นมนุษย์สร้าง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องร่ำรวยถึงเพียงไหนถึงกล้าใช้หยกประดับประดาทั่วบริเวณเป็นผนังถ้ำแบบนี้
“น้าจั๋ว รีบเอาของเหล่านั้นออกมาให้ผม” หลี่เค่อมือสั่น จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก
แต่เมื่อหลี่เค่อสูดหายใจเข้าลึกนั้น อยู่ๆ เขาก็ต้องประหลาดใจ ราวกับว่าร่างกายของหลี่เค่อกระหายลมหายใจนี้อย่างประหลาด
ร่างกายที่อ่อนล้าเพียงแค่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ เพียงครั้ง ร่างกายที่คล้ายใกล้ตายของหลี่เค่อกลับรู้สึกสบายสดชื่นและมีเรี่ยวแรงมากขึ้นในทันที
มือของหลี่เค่อหยุดสั่น สิ่งนี้ทำให้หลี่เค่อประหลาดใจ
“น้าจั๋ว น้าสัมผัสได้ไหม อากาศของที่นี่ อากาศของที่นี่ประหลาด”
จั่วยุ่นและจั่วจี๋ทำหน้างงงัน แทนที่นายน้อยจะสนใจเรื่องอากาศ ตอนนี้ทั้งสองพ่อลูกสนใจแท่งเสาและผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยหยกและทองคำของที่นี่มากกว่า ไม่รู้ว่าหากเอาออกไปข้างนอกได้จะร่ำรวยขนาดไหน ขอเพียงแค่เสาต้นเดียว เกรงว่าทั้งชีวิตจะใช้เงินทองไม่หมด
แต่พอได้ยินหลี่เค่อพูดแบบนี้ ทั้งสองก็เริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง
ทั้งสองสูดหายใจเข้าลึก แต่สิ่งที่ทั้งสองรับรู้คือ
“สดชื่น พ่อบุญธรรมอากาศที่นี่สดชื่นมาก”
“ใช่อากาศที่นี่ดี แต่นายน้อย พวกเราจะต้องสนใจมันไปทำไมกัน นี่นายน้อย ท่านดูเสาต้นนี้ ดูผนังถ้ำนั้น รวยแล้ว พวกเรารวยอีกแล้ว หากพวกเราเอาของพวกนี้ไปประดับที่สำนักงานใหญ่ ‘จั่วซีอานกรุ๊ป’ กร๊ากกร๊ากๆ ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีหน้ามีตาขนาดไหน” จั่วยุ่นพูดอย่างมีความสุข ปัจจุบันเขายังเป็นประธาน ‘จั่วซีอานกรุป’ อยู่ ดังนั้นเขาย่อมคิดถึงบริษัทเป็นสิ่งแรกๆ
‘จั่วยุ่นและลูกจี้ พวกเขาดูเหมือนจะสัมผัสในสิ่งที่ข้าสัมผัสไม่ได้’