Skip to main content
คัมภีร์มารกระถางกลืนวิญญาณ

[TDSS] ตอน 002 : พลังจิต

By 11/03/2024มีนาคม 28th, 2024No Comments

ถนนเก่าทรุดโทรมที่เต็มไปด้วยซากประหลักหักพัง แถวด้านหน้าถนนมีบ้านช่องร้านค้าเล็กๆ ก่อสร้างขึ้นใหม่ ใบหน้าของผู้คนส่วนใหญ่อิดโรย แสดงถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต

ที่เป็นเช่นนี้เพราะในช่วงปี ค.ศ 2027 แผ่นดินใหญ่ได้เข้าสู่มหาสงคราม ในไม่ช้ามันก็ได้กลายเป็นสงครามโลก สามปีต่อมาแผ่นดินใหญ่มากกว่าครึ่งถูกทำลาย เมื่อผ่านมาสิบปี นี่คือช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟู่อีกครั้ง

แต่นี่ก็นับว่าเป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เมื่อไร้รัฐบาลกลางซึ่งคอยควบคุมกฎหมาย คนชั่วและพวกเห็นแก่ตัวก็ผุดขึ้นเสียยิ่งกว่าดอกเห็ด

ทุกบ้านแทบจะต้องหาซื้ออาวุธปืนไว้เป็นของตัวเอง แต่ราคาของอาวุธปืนก็สูงมาก นอกจากนั้นการครอบครองมันก็เต็มไปด้วยอันตราย หากใครมีปืน กองกำลังทหารที่ควบคุมเขตเมืองก็จะสังหารทันที

แต่นั้นต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ‘คุณ’ ไม่ใช่คนของมัน

ณ ตรอกเล็กๆ

“บัดซบ เหี้ยเอ๊ย ใครมาขี้ทิ้งที่หน้าบ้านของบิดา” ชายคนหนึ่งใบหน้าดุดัน ผิวแดงดำเขาฉุนเฉียว เพราะเหม็นกลิ่นสาบแสบจมูกของอุจจาระ นี่ทำให้เขาหงุดหงิดแต่เช้า

เมื่อผู้คนที่เดินไปเดินมาได้ยินเสียงของชายผู้นี้

พวกเขาก็หันมองไปที่ทางเดินในตรอกเล็กๆ นี่เป็นตาเดียว ชายชรางกๆ เงิ่นๆ ก้าวช้าเดินอย่างไร้ทิศทาง ปากเขาเอาแต่พูดว่าที่นี่ที่ไหน ที่นี่ที่ไหน

ดวงตาของชายชรามีสีขุ่นทำให้รู้ได้ว่าเขามีสายตาที่ไม่ดีนัก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนที่เห็นต้องเบือนหน้าหนี คือคราบสีเหลืองที่เลอะกางเกงยาวโบราณผ้าฝ้ายสีเทาอ่อน ปลายเท้าชายชรามีอุจจาระค่อยๆ ไหลออกมาเป็นระยะระยะระหว่างที่ชายชราก้าวเดิน มันเป็นทางยาวพอสมควร

“บัดซบ นี่มันไอ้แก่แซ่หลี่บ้านท้ายซอยที่สติไม่ดีนี่หว่า ใครปล่อยมันมาเนี่ยบัดซบ และนั่น แย่แล้ว ไอ้แก่ขี้แตก” ชายคนเดิมเอามือชี้หน้าชายชรา เขาโกรธอย่างเหลือทน ดูท่าต้องเป็นเขาที่ต้องเช็ดอุจจาระของชายคนนี้ ด้วยความโมโหเขาอดไม่ได้ที่จะหยิบไม้ขึ้นและคิดจะตีไปที่ชายชราแซ่หลี่

เพียงแต่ว่าก่อนที่เขาจะไปตีชายชรา หญิงสาววัยกลางคนร่างอวบใบหน้าใจดีผู้ซึ่งเป็นภรรยาก็รีบมาห้ามไว้

“!อาเฉิน อย่าตีผู้เฒ่าหลี่ อย่างน้อยก็เห็นแก่อาเค่อ เพียงแค่เรียกอาเค่อมาก็พอ” นางพูดพร้อมรีบขยิบตา ชื่อของหลี่เค่อดูมีความหมายต่อคนในตรอกนี้พอสมควร

เมื่อเพื่อนบ้านบางส่วนได้ยินว่าอาเฉินคิดจะตีชายชราแซ่หลี่ หลายคนก็รีบมาห้าม และบอกให้อาเฉินรีบติดต่ออาเค่อ

หลายคน ณ ที่แห่งนี้ต่างได้รับความช่วยเหลือหลายอย่างจากหลี่เค่อไม่มากก็น้อย

เมื่อชายที่ถูกเรียกว่าอาเฉินได้ยินชื่อของอาเค่อสุดท้ายเขาถอนหายใจ หยุดคิดที่จะตีชายชรา เขาปาด้ามไม้ทิ้งเสียงดัง ก่อนจะดุภรรยาว่างั้นเจ้าก็ไปตามไอ้หนุ่มแซ่หลี่นั้นมา พร้อมให้ทำความสะอาดหน้าบ้านเราให้เรียบร้อยด้วย หากมันทำไม่เรียบร้อย บิดาคนนี้จะตีทั้งหลานชาย ทั้งปู่ให้ขาหัก

อาเฉินนั้นมีร่างค่อนข้างใหญ่ เขาเป็นนักเลงโตคนหนึ่งของซอยนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความซื่อตรงและขยันทำงาน ทำให้เขาได้ภรรยาที่ดี

ภรรยาร่างอวบใบหน้าใจดีรีบพยักหน้า นางรีบกดโทรศัพท์มือถือ

ณ ตรอกแห่งนี้ไม่มีใครรู้ว่าหลี่เค่อเป็นใคร นั่นแสดงถึงนิสัยอันแสนเรียบง่ายและถ่อมตนของหลี่เค่อ

ติง ติง…

“น้าลี่ น้าโทรหาผมมีอะไรงั้นเหรอครับ” หลี่เค่อในชุดดำพูดสุภาพ แม้ใบหน้าเขาจะกร้านโลกมองคล้ายเหมือนคนวัยสี่สิบเกือบสี่สิบห้าด้วยเพราะมีเส้นผมเขาขาวโพลน แต่น้ำเสียงของเขาก็นุ่มน่าฟังมากเมื่อเขาพูดกับชาวบ้านธรรมดา

โดยด้านหลังหลี่เค่อ มีกลุ่มผู้คนสวมชุดดำที่เป็นชุดรบของทหารยืนล้อมตัวเขาอยู่มากมาย แต่ละคนร่างกำยำมองอย่างไรก็รู้สึกว่าถูกฝึกมาอย่างดี พอมองที่พื้นรอบบริเวณดีๆ มองเห็นร่างไร้ชีวิตนอนระเกะระกะจำนวนมาก สังเกตดีๆ ที่ขากางเกงของแต่ละคนต่างมีอาวุธปืนพบสั้นใส่ซองรัดแนบขากางเกงไว้อยู่แทบทุกคน สถานะพวกเขาดูไม่ธรรมดา

“ไม่มีอะไรมากหลอกหลี่เค่อ เพียงแต่ปู่ของเจ้าเดินหนีออกมาจากบ้านแล้ว แถมระหว่างเดินมาเนี่ยยังอุจจาระแตกเลอะเทอะตลอดทางอีก…” พูดถึงตรงนี้น้าลี่เบาเสียงเล็กน้อย แสดงถึงความกังวล “หลี่เค่ออย่าหาว่าน้าพูดมากเลยนะ แต่เจ้าควรเปลี่ยนคนดูแลปู่ใหญ่ของเจ้าจะดีกว่า ลูกสาวตระกูลจางตรอกสิบหกใช้การไม่ได้จริงๆ ดูสิทำไมนางถึงไม่ดูแลปู่ของเจ้าให้ดี แต่กลับปล่อยให้เดินออกมาอย่างไม่รู้ความอย่างนี้ได้ ปู่ของเจ้าป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม หากพลัดหลงเดินออกจากเขตคุ้มครองที่สามสิบเก้านี่จะทำยังไง” น้าลี่ถอนหายใจ จากนั้นนางพูดน้ำเสียงน่าฟัง อธิบายถึงความโกรธเกรี้ยวของสามีนาง นางคาดหวังเงินเล็กๆ น้อยจากหลี่เค่อ

นางรู้ว่าหลี่เค่อเป็นคนดี นอกจากนั้นยังมีเงินมาก!

“ขอบคุณน้าลี่ ผมจะรีบกลับไปที่บ้าน”

สายตาของหลี่เค่อสาดไปด้านหลัง แม้เขาจะมีร่างกายที่ผอมแห้ง ดูอ่อนแอเหมือนคนป่วย แต่ ณ ที่ตรงนี้ ไม่มีใครไม่หวาดกลัวหลี่เค่อ

ยิ่งพวกเขาเห็นหลี่เค่อพูดจาดีๆ พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัว

ฉายา ‘ราชาแห่งความตาย’ และ ‘พ่อค้าชีวิต’ ไม่ได้มาง่ายๆ

ชายร่างใหญ่กล้ามแน่นคนหนึ่งก้าวมาด้านหน้านำคนอื่น เขาดูจะเป็นคนเดียวที่หวาดกลัวหลี่เค่อน้อยที่สุด

“นายน้อยจะรีบกลับบ้านเลยไหม”

หลี่เค่อพยักหน้า ‘จั่วยุ่น’ ชายร่างใหญ่กล้ามแน่นแผดเสียงว่า “!เก็บกวาดสถานที่” เหล่าชายชุดดำจำนวนมากรีบเดินวิ่งกันเก็บศพ และขนกล่องสินค้าที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในอย่างรีบร้อน

ภายในรถที่หรูหรา หลี่เค่อเปลี่ยนชุดของตัวเองเป็นชุดที่สบายๆ

ด้วยร่างกายที่ผอมมากและใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นจนดูสูงวัย ทำให้เขาดูมีอายุมาก แม้เขาจะมีอายุจริงๆ แค่ 24 ปีในตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น แม้หลี่เค่อจะดูมีอายุ แต่เขาก็มีสง่าราศีบางอย่างระอุจากร่างของหลี่เค่อ โดยเฉพาะดวงตาที่เย็นเหยียบน่าหวาดกลัวจนใครๆ แทบไม่กล้าจ้องมอง

หลี่เค่อเปลี่ยนชุดจากนั้นเขาสวมแว่นตาที่มีสีเทาขุ่น สิ่งนี้ทำให้บรรยากาศและกลิ่นอายความตายคล้ายเจื่อจางไปจากร่างกายหลี่เค่ออย่างรวดเร็ว มองผ่านๆ หลี่เค่อคล้ายมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานอย่างหนักจนมีร่างที่ผอมแห้งแก่ชราเร็วก็เท่านั้น

ระหว่างทาง ‘จั่วยุ่น’ พูดอธิบายรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจของหลี่เค่อ หลี่เค่อทำเพียงหลับตานอนรับฟังอย่างเงียบๆ ด้วยความทรงจำของเขา ขอเพียงได้ยินเขาจะไม่มีวันลืม ดังนั้นหลี่เค่อไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการทำธุรกิจ

จนกระทั่ง…

ประตูรถตู้หรูถูกเปิด

หลี่เค่อเดินลงจากรถ กิริยาเขาดูนอบน้อม

เขารีบโค้งกายและพูด “ขอบคุณหัวหน้าจั่วที่มาส่ง เกรงใจจริงๆ เลยครับ”

จั่วยุ่นแผดเสียงดัง “วันหลังหากเกรงใจก็ทำงานให้มากขึ้น นี่อะไร วันนี้ก็หยุดครึ่งวันอีกแล้ว หากไม่ติดว่าแกทำงานดี และบริษัท ‘จั่วซีอานกรุป’ ขาดเอ็งไม่ได้ วันนี้จะเป็นวันที่บิดาตีเอ็งจนขาหักไปแล้วหลี่เค่อ” จั่วยุ่นพยายามทำทีท่าไม่พอใจ

ตอนนี้ผู้คนรอบด้านส่งเสียงฮือกันไม่หยุด ‘จั่วซีอานกรุป’ แม้จะไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่โตที่สุดของประเทศ

แต่หากนับบริษัทที่ร่ำรวยและใหญ่โตของประเทศขึ้นมาสักสิบอันดับจั่วซีอานกรุปต้องอยู่ในการจัดอันดับนั้นแน่นอน

คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ใครๆ ก็ต้องการทำงานที่จั่วซีอานกรุป เพราะนอกจากขึ้นชื่อว่าเงินเดือนสูง แต่สวัสดิการก็ยังดีอันดับต้นๆ ของประเทศในช่วงยุคหลังสงคราม

“หลี่เค่อทำงานที่จั่วซีอานกรุปงั้นเหรอ” ชายแก่คนหนึ่งรีบส่งเสียงอย่างไม่รู้ความ

หญิงสาววัยกลางคนที่มีลูกสาวหน้าตาดี พวกเธอจ้องมองหลี่เค่อราวกับไม่รู้จักหลี่เค่อมากก่อน

ตอนนี้หลี่เค่อขมวดคิ้วมองจั่วยุ่น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาสั่งให้จั่วยุ่นทำ จั่วยุ่นหรี่สายตาสู้หลี่เค่อ ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ใช่แค่หัวหน้าลูกน้อง แต่มีอะไรมากกว่านั้น

หลี่เค่อได้ช่วยชีวิตจั่วยุ่นและครอบครัวตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุ 14 จั่วยุ่นตอบแทนหลี่เค่อด้วยการอาสาดูแลปกป้องหลี่เค่อ ในตอนนั้นหลี่เค่อไม่ต้องการ แต่จั่วยุ่นก็ตามติดหลี่เค่อไม่ไปไหน ความใส่ใจและความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาทำให้หลี่เค่อค่อยๆ ยอมรับจั่วยุ่น จั่วยุ่นคล้ายกลายเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของหลี่เค่อไปในที่สุด

“วันนี้จะขอไปเยี่ยมบ้านลูกน้องเสียหน่อย” จั่วยุ่นเดินนำหน้าหลี่เค่อ เขาไม่สนสายตาที่แอบแสดงความไม่พอใจเล็กน้อยของหลี่เค่อ

ในระหว่างเดินเข้าตรอกเก่าๆ โทรมๆ ผู้คนมากมายเดินมาหาหลี่เค่อและพวกเขาถามว่าหัวหน้าของหลี่เค่อคือใคร

หลี่เค่อไม่ทันตอบ แต่จั่วยุ่นก็รีบประกาศตัวเองเลยว่าตัวเขาคือเจ้าของบริษัทจั่วซีอานกรุป สิ่งนี้ทำชาวบ้านจนๆ ทั่วบริเวณตกตะลึง สตรีวัยกลางคนที่มีลูกสาวสวยบางคนถามจั่วยุ่นอย่างรีบร้อนว่าแต่งงานแล้วรึยัง

จั่วยุ่นส่ายหน้า ดวงตาสตรีวัยกลางคนเป็นประกายระยิบระยับ นับว่าจั่วยุ่นเปิดช่องให้พวกนาง

“แต่ขออภัยพี่สาวทั้งหลาย แต่ผมไม่คิดแต่งงานใหม่ จริงๆ ผมเป็นพ่อหม้ายและมีลูกติด ตอนนี้ไม่คิดเรื่องมีครอบครัวอีกแล้ว ผมรักภรรยาที่จากไปมากจริงๆ”

สตรีวัยกลางคนจำนวนมากมีใบหน้าเศร้าทันที